วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552
พรแห่งความสุข 4 ข้อ
1. อย่าเป็นนักจับผิด
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง 'กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก' คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส 'จิตประภัสสร' ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี ' แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข '
2. อย่ามัวแต่คิดริษยา
'แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน'
คนเราต้องมี พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า 'เจ้ากรรมนายเวร' ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอน
ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น 'ไฟสุมขอน' (ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี 'แผ่เมตตา' หรือ ซื้อโคมลอยมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล ่อยให้ลอยไป
3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ 'ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น'
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องภาระต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ ' อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน '
' อยู่กับปัจจุบันให้เป็น ' ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี 'สติ' กำกับตลอดเวลา
4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
'ตัณหา'ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ 'ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม'
ทุกอย่างต้องดู ' คุณค่าที่แท้จริง ' ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น
คุณค่าที่แท้ของนาฬิกาคืออะไร ? คือไว้ดูเวลาไม่ใช่ใส่เพื่อความโก้หรู
คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือคืออะไร ? คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของโทรศัพท์
เราต้องถามตัวเองว่า 'เิกิดมาทำไม' คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ตามหา ' แก่น ' ของชีวิตให้เจอ
คำว่า 'พอดี' คือ ถ้า 'พอ' แล้วจะ 'ดี' รู้จัก 'พอ' จะมีชีวิตอย่างมีความสุข'
วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552
สามิสสุข vs นิรามิสสุข
ส่วน “นิรามิสสุข” เป็นความสุขที่ไม่อิงอามิส คือเป็นความสุขที่ไม่ต้องอาศัยกามคุณ แต่อาศัยเนกขัมม์ คือการปลีกออกจากกามคุณ หรือเป็นอิสระจากกามคุณ จึงไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิดกิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่จะเป็นเหตุนำเหตุหนุนให้กระทำกรรมชั่วหรือบาปอกุศล ให้เกิดความทุกข์เดือดร้อนได้อีก ความสุขอันเกิดแต่ความสงบจากกรรมชั่ว และ/หรือ อัน สงัดจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน เช่นนี้ ย่อมเป็นความสุขที่เที่ยงแท้ถาวร คือเป็นความสุขที่ไม่มีเหตุปัจจัยให้กลับเป็นทุกข์ได้อีก
ความว่างที่สร้างความสุข
อยู่มาวันหนึ่ง มีผู้แนะนำว่า ถ้าอยากมีความสุขก็ควรจะมีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะในบ้านของเรานั้น เราสามารถเป็นเจ้าของทุกอย่างในบ้านโดยที่ไม่ต้องมีใครมาคอยกวนใจ ซ้ำยังมีอิสระที่จะเสกสรรค์ปั้นแต่งหรือจัดบ้านให้เป็นไปตามความต้องการของตนเองอย่างไรก็ได้
เขาเชื่อตามที่มีผู้แนะนำ จึงตัดสินใจสร้างบ้านขึ้นมาหลัง หนึ่ง เมื่อแรกสร้างบ้านนั้น บ้านของเขาหลังใหญ่ทีเดียว พอมีบ้านแล้ว เขามีความสุขมาก เขาเริ่มจัดบ้านตามต้องการ และเริ่มหาข้าวของต่างๆ มากมาย มากองไว้ในบ้านทีละอย่างสองอย่าง จนกระทั่งวันหนึ่ง ห้องว่างๆ ในบ้านของเขาก็หายไป ทุกพื้นที่ในบ้านเต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะ มองไปทางไหนก็รกหูรกตา
ทีนี้ชายหนุ่ม เริ่มรู้สึกว่าบ้านของตนเองช่างเป็นสถานที่ที่ไม่น่าอยู่ อากาศก็อุดอู้ เขาเริ่มบ่นกับตัวเองว่าคิดผิดถนัดที่สร้างบ้านขึ้นมา เพราะนึกว่าบ้านจะให้ความสุขได้นานๆ บางวันเขาก็ครุ่นคำนึงว่า น่าจะสร้างบ้านให้หลังใหญ่กว่านี้ จะได้บรรจุอะไรต่อมิอะไรได้เยอะๆ ตามต้องการ
ขณะที่เขาเริ่มไม่มีความสุขเพราะบ้านกลายเป็นโกดังเก็บของนั้นเอง ก็มีนักปราชญ์คนหนึ่งผ่านมาแถวนั้น เขาบ่นดังๆ จนปราชญ์คนนั้นได้ยิน นักปราชญ์หนุ่มจึงแนะนำว่า ถ้าเขาอยากให้บ้านเป็นสถานที่แห่งความสุข ก็ไม่เห็นจะยากอะไร เพียงแต่ขนข้าวของทั้งหมดออกมาวางข้างนอกบ้านเสียก็หมดเรื่อง
ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้น รีบทำตามทันที เขาเริ่มขนข้าวของซึ่งโดยมากล้วนเป็นสิ่งซึ่งไม่จำเป็น หากแต่เขาเก็บเอาไว้เพราะความละโมภมากกว่าออกมาทิ้งนอกบ้าน ขนอยู่สองวัน จนบ้านว่าง โล่ง และดูกว้างขึ้นมาผิดหูผิดตา คราวนี้เขามีความสุขมาก รำพึงกับตัวเองว่า แหม บ้านของฉันช่างกว้างขวาง และน่าอยู่เสียนี่กระไร นักปราชญ์ได้ยินแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม ก่อนจะเปรยขึ้นมาว่า บ้านของเจ้าน่ะ มันกว้างขวาง ว่าง โล่ง และน่าอยู่มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เจ้าของหากล่ะที่ทำให้มันไม่น่าอยู่ ด้วยการบรรจุอะไรๆ ที่เกินจำเป็นใส่เข้าไปจนบ้านกลายสภาพเป็นกองขยะดีๆ นี่เอง
ใช่หรือไม่ว่า คนส่วนใหญ่ที่กำลังกวาดตามองหาความสุขและพยายามที่จะเติมสิ่งนั้นสิ่งนี้เข้าไปในชีวิต แต่แล้วก็ยังคงรู้สึก “พร่อง” หรือหมักหมมไปด้วยความทุกข์อยู่เหมือนเดิม ไม่แตกต่างอะไรกับชายเจ้าของบ้านในนิทานปรัชญาเรื่องนี้
การจัดการชีวิตให้มีความสุขนั้น ทางที่ถูก อาจไม่ใช่การใส่อะไรลงไปในชีวิต แต่แท้ที่จริงแล้ว คือการถ่ายเท ปล่อยวาง หรือระบายบางสิ่งบางอย่างออกจากชีวิตมากกว่า
ในพุทธศาสนานั้น เราถือกันว่า ความสุขอาจเกิดจากความมี (สามิสสุข) ก็ได้ แต่ที่เหนือกว่านั้น ความสุขอาจเกิดจากความเป็นอิสระจากความมีก็ได้ด้วย (นิรามิสสุข)
บ้านแห่งชีวิตของเรา เมื่อแรกสร้างก็ดูโปร่ง โล่ง เป็นระเบียบเรียบร้อย สบายหูสบายตา แต่เมื่ออยู่กันไป อะไรๆ ก็ชักจะเพิ่มขึ้น และบางทีเพิ่มมากมายจนกลายเป็นปัญหาอันบั่นทอดต่อความสุขในชีวิตคู่
จะดีกว่าไหม หากมีเวลาว่าง คนรักกัน น่าจะลองหาวิธีทำพื้นที่หัวใจให้ว่างด้วยการถอดถอนบางอย่างทิ้งออกไป
ขอเพียงเรียนรู้ที่จะลดบางอย่างลงไป ความสุขในหัวใจก็คงจะเพิ่มขึ้น
ความสุข บางครั้งอาจไม่ได้ผูกพันอยู่กับความมี
แต่บางที อาจมาจากความว่าง
ว.วชิรเมธี
วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552
Happiness VS Unhappiness
ความสุขแท้-เทียม ทุกข์แท้-เทียม
ความสุขไม่มีนิยามความหมายที่จับตั้งได้อย่างแท้จริง เนื่องจากความสุขและความทุกข์เป็นเพียงสภาพหรือสภาวะหนึ่งๆ ในทุกๆ ขณะจิตเท่านั้น การบรรยายถึงความสุขจึงอาจจะแสดงเป็นข่วงยามหนึ่งๆ หรือไม่ก็เป็นการสรุปความสุขที่ผ่านมาในช่วงเวลาสั้นๆ หรืออาจจะเป็นความสุขที่สรุปจากภาพโดยรวมของชีวิตที่ผ่านมา ขึ้นอยู่กับว่าต้องการแสดงระดับความสุขในสถานการณ์ใด
“ความสุขความทุกข์เปลี่ยนแปลงทุกปี ทุกเดือน ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที และทุกวินาที แม้กระทั้งทุกขณะจิตที่จิตคนเราจะแบ่งได้...”
ภาพโดยรวมของมนุษย์แต่ละบุคคลเป็นความสุขสถานใด อยู่ในระดับใด และกำลังขยับไปในทางที่ทุกข์มากกว่าเดิม หรือสุขมากขึ้น และมากไปกว่านั้น นั่นเรากำลังเดินไปในทางสุขแท้ หรือเทียม หรือกำลังจมลงไปสู่ความทุกข์พื้นๆ ทางโลกหรือกำลังดำดิ่งลงไปสู่สภาพทุกข์แท้ที่หนักหนาสาหัส จนสภาวะจิตสามารถถูกทำลายได้อย่างสิ้นเชิง
มีผู้ที่พยายามสร้างสมการความสุขขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายความสุขระดับบุคคล (Cohen 2003) และมีผู้ที่พยายามขีดสเกลของความสุขทุกข์ขึ้นมาเช่นกัน (http://feedproxy.google.com/~r/Spreadinghappinessorg/~3/EhI9ywNBWIM/) อย่างเช่น uneven happiness scale ได้กล่าวว่าความสุขที่เกิดขึ้นสามารถชดเชยความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ 5 เท่า เป็นต้น
สุขเทียม - ทุกข์เทียม
ความสุขทุกข์แบบโลกๆ นั้นมักจะวัดกันด้วยวัตถุ การได้มาเสียไปของวัตถุ ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ทำให้เกิดความทุกข์ ความสุขขึ้นตลอดเวลา เช่น วันเงินเดือนออก ปลายปีที่ได้โบนัส การได้เลื่อนตำแหน่ง การได้รับอำนาจ และการได้ครอบครองสิ่งที่พึงประสงค์ เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นความสุขที่หล่อเลี้ยงด้วยกิเลส เมื่อได้มาก็มีความสุข เมื่อเสียไปก็จะทุกข์ วนเวียนไปมาอยู่อย่างนั้น ผู้ที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยกิเลสมากๆ นานวันเข้าก็จะเกิดความรู้สึกติดยึดกับวัตถุเหล่านั้น และมีอำนาจเพียงพอที่จะดึงดิ่งลงไปสู่สภาวะทุกข์ที่จริงได้
“เป็นความสุข ทุกข์ที่เกิดจาก ความมั่นคงจากภายนอก”
สุขแท้ - ทุกข์แท้
อีกหนึ่งไม้บรรทัดที่แสดงสเกลความสุขทุกข์ ซึ่งอาจเรียกว่า ความสุขทางธรรม คือความสุขที่อยู่ในสภาวะที่เข้าใจในวัตถุทางโลก การสนองความต้องการพื้นฐานด้วยความพอดี ไม่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยกิเลส ความสุข ทุกข์ลักษณะนี้เป็นเรื่องของการยอมรับ เข้าใจ และควบคุมสภาพจิตของตนเองไม่ให้ซัดส่ายไปในทางที่หล่อเลี้ยงด้วยกิเลส เช่น เมื่อเกิดความอยากได้อยากมีก็สามารถควบคุมความอยากได้อยากมีนั้นไว้ได้โดยไม่กระทบถึงสภาวะจิตใจ ทุกข์แท้มักจะเป็นปลายทางของผู้ที่เกิดความทุกข์ทางวัตถุที่ไม่เหลือหนทางเดินต่อ สภาพจิตตกต่ำถึงที่สุด แต่ก็สามารถหมุนเปลี่ยนเป็นสุขแท้ได้โดยการยั้งคิด พลันคิดได้ในสิ่งที่เป็นไปในวัตถุทางโลก และยังสามารถเกิดกับผู้ที่มีความสุขทางวัตถุที่สุดเมื่อคนเหล่านั้นมีความต้องการที่ไม่สิ้นสุด และสามารถหมุนไปสู่ความสุขแท้ได้ เมื่อคนผู้นั้นสร้างความเข้าใจในความไม่เที่ยงแท้ของวัตถุ
“เป็นความสุข ทุกข์ที่เกิดจาก ความมั่นคงจากภายใน”
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552
The formula for happiness
Scientists say they have solved one of the greatest mysteries plaguing mankind - just what is the secret of happiness?
The answer, apparently, is nothing as simple as true love, lots of money, or an exciting job. Instead, it can be neatly summarised in the following equation:
Happiness = P + (5xE) + (3xH)
Just to explain, P stands for Personal Characteristics, including outlook on life, adaptability and resilience.
E stands for Existence and relates to health, financial stability and friendships.
And H represents Higher Order needs, and covers self-esteem, expectations, ambitions and sense of humour.
Sound complicated? Actually, it isn't as difficult as it may seem.
Apparently the formula was worked out by psychologists after interviews with more than 1,000 people.
Life coach Pete Cohen, who co-wrote the study, admitted that the equation was not easy for most people to understand.
But he said it was based on a series of simple questions (see box).
Questions on which the equation is based
1. Are you outgoing, energetic, flexible and open to change?
2. Do you have a positive outlook, bounce back quickly from setbacks and feel that you are in control of your life?
3. Are your basic life needs met, in relation to personal health, finance, safety, freedom of choice and sense of community?
4. Can you call on the support of people close to you, immerse yourself in what you are doing, meet your expectations and engage in activities that give you a sense of purpose?
See below to work out your score
Working out the answer
The questions should be answered on a scale of one to ten, where one is "not at all" and ten is "to a large extent"
Add the scores for question one and two together to find your P value.
The score for question 3 is the value for E, and question 4 for H
Mr Cohen said the British were expert at making themselves unhappy by focusing on negative things.
Rating
Each person who completes the questions ends up with a rating out of 100. The higher the score, the more happy they are.
"Most people probably don't know what happiness is, they think happiness is perhaps having lots of money or a big car, or a big house.
"But people who have all these things are not necessarily happier than people who just enjoy their life."
"We tend to be very obsessed with what is wrong, what is missing and what we have not got, rather than focusing on what we want and getting it.
"It would be nice to just enjoy your life, because life is a bit short."
The researchers found that different factors were important for the different sexes.
Pete Cohen came up with the equation
Four in ten men said sex made them happy, and three in ten said a victory by a favourite sports team.
For seven in ten women happiness was related to being with family, and one in four said losing weight.
Romance featured higher for men than women. So did a pay rise and a hobby they enjoyed.
Women were more likely to cite sunny weather.
Ingrid Collins, a consultant psychologist at the London Medical Centre, told BBC News Online: "I would be very surprised if people sat down and had to work out whether they were happy or not.
"We can all be happy in a heartbeat if we make the decision to be so."
วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552
The happiness virus
Maybe you’d be more inclined to resist these ideas, though: Headaches are contagious. Acne is contagious. Height is contagious.
According to another study published the same day in the same journal, by Ethan Cohen-Cole of the Federal Reserve Bank of Boston and Jason Fletcher of Yale University, these latter claims are nearly as likely as the first. The researchers “proved” them using the same methodology.
Sure, say Cohen-Cole and Fletcher, happy people tend to have happy friends. But that may not mean that happy friends make you happier, any more than tall friends make you taller, your friends’ headaches hurt your head, or the pimples on your friend’s face infect you. Instead, happy people might choose happy friends in the first place. Or an outside event, say a shooting in the neighborhood, could make a whole group of friends unhappy at once.
The emergence of social network theory has allowed scientists to begin studying much more deeply how our friends and colleagues affect our health, and it is becoming clear that social effects are big and important. But the field is so new that researchers are still disputing which methods are necessary to preclude detecting influences that aren’t really there.
Cohen-Cole and Fletcher say that the happiness researchers, James Fowler of the University of California, San Diego and Nicholas Christakis of Harvard University, didn’t do enough to control for factors like similarity of friends or common environmental influences. As evidence, they cite their own study, in which the apparent social impacts of headaches, acne and height went away once they controlled for environmental factors.
For their part, Fowler and Christakis acknowledge in their paper that there are plenty of reasons why happy people might tend to have happy friends. But they defend their methods, saying the only explanation that explains their data is that happiness is contagious.
Fowler and Christakis made clever use of data that were likely never intended for use studying social networks: the Framingham Heart Study. A project of the National Heart, Lung and Blood Institute and Boston University, the study collected health data on several thousand people from a small city in Massachusetts over decades.
The study also asked people how often in the last week they experienced feelings such as, “I enjoyed life” or “I felt that I was just as good as other people.” Participants gave the name and contact information for one friend, just to make it easier to track them down for the next survey a few years later. Christakis and Fowler constructed a network of people’s social interactions using this data together with information about where people lived and worked and who their spouses were.
The researchers wanted to understand not just how one person’s mood affects another person’s, but how an entire web of interactions contribute to or detract from happiness. A quick glance at a drawing of the network revealed what the team was looking for: Clumps of happy people. People at the centers of clumps were particularly likely to be happy. And it wasn’t just people’s friends that made them happy — it was also their friends’ friends’ friends.
But Fowler and Christakis realized those effects might only indicate that people like to hang out with folks who are about as happy as they are. So they also looked at changes in happiness levels, computing how likely it is that when your friends get happier, you do too.
A single friend’s increased happiness, they found, increased by 9 percent the chance that you would get happier, a statistically significant amount, Fowler and Christakis report. A happier spouse, nearby siblings or neighbor are even more likely put a smile on your face. Best of all, oddly enough, is a happier next-door neighbor. Happier coworkers, on the other hand, probably wouldn’t do much for you.
That still left the questions of whether common environmental effects could be causing the simultaneous changes in happiness levels. A new neighborhood park, for example, could make lots of people happy at the same time, even if happiness isn’t contagious.
To rule that out, the researchers looked at pairs of friends who both participated in the study, say, for example, Charles and John. They found that if Charles listed John as his friend but John didn’t name Charles, then Charles tended to be more influenced by John’s happiness than the other way around. That difference, they argue, couldn’t possibly be explained by environment, since Charles spends the same amount of time with John as John does with Charles.
But those checks aren’t enough to reassure everyone. Cohen-Cole and Fletcher say that it’s remarkably easy to see social influences where they don’t exist, as evidenced by their own study. “We took their same method and applied it to silly things that can’t possibly be contagious,” Cohen-Cole says, “and we found similar effects.” So, Cohen-Cole and Fletcher concluded, the methodology must be flawed.
Cohen-Cole and Fletcher used the data from the National Longitudinal Study of Adolescent Health, which followed several thousand adolescents over a decade. They found that if a person’s acne got worse, their friend had a 46 percent greater chance of worsened acne, and if a person’s headaches got worse, their friend had a 35 percent greater chance of worsened headaches. (Large as both those effects were, Cohen-Cole and Fletcher determined that they were not quite statistically significant.) And for every inch a person grew, their friend grew an extra 0.2 inch (which was statistically significant).
Then they applied a stronger method of controlling for environmental influences than Fowler and Christakis had used, and found that the apparent effect went away. They argue that these more conservative methods need to be used all the time.
Fowler and Christakis say that the idea that acne, headaches and height could be transmissible might not be so absurd. Friends might learn remedies from one another, or share dietary habits that would affect their acne or headaches. They also point out that all these properties were self-reported, and a short person with tall friends might be more inclined to exaggerate their height.
Despite these lingering questions, Ana Diez-Roux of the University of Michigan School of Health says that Fowler and Christakis’ work is groundbreaking. “I’m not ready to say that it’s totally convincing that the effects they’re seeing are pure contagion,” she says, partly because of the concerns that Cohen-Cole and Fletcher have raised. “But they’ve done lots of interesting things to try to support their case.” With time, she says, the community will develop better techniques to resolve the uncertainties.
กฎการปฏิบัติของอาจารย์เซน
- กินแต่พอ ไม่ต้องถึงจุดที่พึงใจ
- ต้อนรับแขกด้วยท่าทีเช่นเมื่อท่านอยู่คนเดียว เมื่ออยู่คนเดียวก็มีท่าทีเช่นเมื่อรับแขก
- ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่พูด
- อย่าเสียใจต่ออดีต
- นอนเช่นว่าเป็นการนอนครั้งสุดท้ายในชีวิต เมื่อตื่นขึ้นมา ก็ลุกจากเตียงทันทีราวกับสลัดรองเท้าคู่เก่าออกไป
มังกรเซน - วินทร์ เลียววาริณ
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ทดสอบ AR
ทั้งสองมีห้องปฏิบัติการทั่วโลกทำการพัฒนา และเริ่มมีซอฟท์แวร์ที่เริ่มผลิตขึ้นมาเป็นแบบเชิงพานิขย์แล้ว อย่าง Layar เป็นต้น...
เมื่อสัปดาห์ก่อนได้รู้จักกับเวบไซต์ ARSight โหลดโปรแกรมมาใช้ และทดสอบกับโมเดลสามมิติ "ปะตูไซ" ที่เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว.. ได้ผลดังนี้...
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552
หนทางแห่งความสุข
หนทางแห่งความสุข
Thursday, 01 January 2009 00:00
มรรคมีองค์ ๘ หรือทางเดินสู่ความสุขนี้อาจเรียกได้ว่า เป็น
“การดำเนินชีวิตถูกต้อง หรือวิถีชีวิตดีงาม” (พระธรรมปิฎก, ๒๕๔๔: ๒๗๘)
ซึ่งปฏิบัติไปด้วยกันทั้ง ๘ ส่วน มิได้เป็นขั้นตอนแบบกระบวนการทางเดียว
ใช้เหมือนวงล้อซึ่งมีแกนล้อแปดแฉก ใช้ด้วยกันเพื่อนำรถไปสู่จุดหมาย
หรือเหมือนที่พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช เทียบกับแมงมุมหนึ่งตัว มีขาแปดขา
ทางเดินทั้ง ๘ นั้นคือ
๑. เห็นดี (สัมมาทิฏฐิ: Right View)
๒. ตั้งใจดี (สัมมาสังกัปปะ: Right Intention/ Right Thought)
๓. พูดดี (สัมมาวาจา: Right Speech)
๔. ปฏิบัติดี(สัมมากัมมันตะ: Right Action)
๕. เลี้ยงชีพดี (สัมมาอาชีวะ: Right Livelihood)
๖. พยายามดี (สัมมาวายามะ: Right Effort)
๗. สติดี (สัมมาสติ: Right Mindfulness)
๘. สมาธิดี (สัมมาสมาธิ: Right Concentration)
การเห็นดีหรือการเห็นชอบ (Right View) นี้เป็นจุดเริ่มและจุดสุดท้ายของการเดินทาง
นักปฏิบัติทั้งหลายสามารถเริ่มการเดินทางทางธรรม
หรือพัฒนาทางจิตใจจิตวิญญาณจากการเห็นถูกเห็นดีนี้เอง
การเห็นดีและการตั้งใจดีเป็นส่วนของปัญญา (Wisdom)
ซึ่งพัฒนาไปตามระดับการเรียนรู้ของเรา เริ่มตั้งแต่ศรัทธา สนใจที่จะพัฒนาจิตใจ
รู้ว่าการคิดดีพูดดีทำดีเป็นสิ่งที่ดี เป็นหนทางแห่งความสุขที่แท้
รู้จักธรรมชาติของใจกายที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลาจากลักษณะแท้จริง
มิใช่เพียงการคิดคำนึง จะพัฒนาต่อไปอีกเรื่อยๆ เห็นสภาวะทุกอย่างผ่านมาและผ่านไป
ไม่ยึดเข้ามาเป็นทุกข์อีก จนใจมันวางเป็นกลาง ไม่อยากเอาเข้ามาหรือผลักออกไป
เห็นสภาพความเป็นจริงแท้ของสรรพสิ่ง เห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
หรือทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ทนอยู่ไม่ได้
ไม่มีตัวตันที่แท้จริง ... จนสุดท้ายไม่เหลือแม้แต่ตัวตนที่รู้ที่ดู
นักปฏิบัติทั้งหลายที่เดินอยู่ในหนทางสู่ความสุข (มรรค ๘)
จะพัฒนาการเห็นดีเห็นชอบนี้ไปสู่คุณภาพใหม่ที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงแท้ของธ
รรมชาติมากขึ้น และสุดท้ายนี้เอง การเห็นดีเห็นชอบก็เป็นเป้าหมายของการเดินทาง
เมื่อมีการเห็นดีเห็นชอบประกอบอยู่กับองค์อื่นๆ เปรียบเสมือนเกราะชั้นในของจรวด
ซึ่งปกป้องให้องค์อื่นๆยึดโยงอยู่กันได้ ทั้งการเลี้ยงชีพชอบ การกระทำดี
การพูดดี และการคิดดีของเราแต่ละคน เมื่อเรามีทิฐิที่ถูกที่ดีหรือความเห็นชอบนี้
เราจึงศรัทธาเชื่อมั่นที่จะปฏิบัติดีในวิธีต่างๆ คนที่ไม่มั่นคงในการทำดี
หรือความเห็นชอบในการทำดีไม่มั่นคงพอ
เมื่อเจอสถานการณ์ที่ต้องทำให้ตัดสินใจอย่างหมิ่นเหม่
คนเหล่านี้อาจจะสั่นคลอนได้ง่าย เช่น เมื่อมีผลประโยชน์ยั่วยวน
ก็สามารถทำผิดกฎหมายได้ฉ้อโกงได้
หรือยอมทำร้ายผู้อื่นทางกายวาจาได้เมื่อเกิดความโกรธ
การคิดดีหรือการตั้งใจดี (Right Thought or Right Intention) เป็นอีกส่วนของปัญญา
(Wisdom) ซึ่งเกิดมาจากการเห็นดีเห็นชอบ เมื่อเราเห็นว่าการปฏิบัติดี
การพัฒนาจิตใจเราให้ดีขึ้น ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น เรามีทัศนคติที่ดี
คิดในทางที่ดี ซึ่งมีผลทำให้เราพูดออกมาดี ทำในสิ่งที่ดี ไม่ทำร้ายผู้อื่น
ใช้ชีวิตที่ดี อาชีพที่สุจริต ไม่ก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่น
คนที่คิดดีย่อมมีสุขภาพจิตดี ไม่ค่อยเครียด
ไม่ต้องทุกข์ทรมานจากความร้อนรนในจิตใจ ที่อาจเกิดจากความอยาก ความโกรธ
ความหลงมากเกินไป
การพูดดี การปฏิบัติดี การเลี้ยงชีพดี นี้เป็นชุดของศีลธรรม (Morality) หรือศีล
ซึ่งเป็นเครื่องป้องกันการกระทำผิดต่อผู้อื่น
เมื่อเราทำร้ายหรือกระทำผิดต่อผู้อื่น จะกระทบการดำรงอยู่ในสังคมนั้นๆของเรา
ทำให้เกิดแรงด้านลบเกิดขึ้น เราก็จะต้องรับผลลบจากการกระทำนั้นๆ เช่น
ไปว่าผู้อื่น เขาก็เจ็บแค้น วันหลังก็เอาคืน วนเวียนกันอยู่อย่างนี้
เราจะมีจิตใจที่เป็นสุขได้ยากขึ้น หรือไปฉ้อโกงเงินของประชาชน
ก็จะถูกไล่ตามหาหลักฐานฟ้องศาล ถูกลงโทษวุ่นวาย คนที่เผลอทำร้ายใครไป
แต่อยากกลับเข้าสู่หนทางแห่งความสุข อาจจำเป็นต้องทนรับกับผลกระทบเดิมสักพัก
และสร้างการพูดดี ทำดี เลี้ยงชีพดีเพิ่มไปเรื่อยๆก่อน
เหมือนเติมน้ำบริสุทธิ์ลงในแก้วน้ำหมึก สีน้ำหมึกก็จะค่อยๆจางไปเรื่อยๆ
ตารางเปรียบเทียบมรรคมีองค์ ๘ และกุศลกรรมบท ๑๐
การพูดดีได้แก่ การไม่พูดโกหก ไม่หลอกลวงผู้อื่น ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดคำหยาบ
ไม่นินทาผู้อื่น หรือโดยรวมคือไม่พูดจาทำร้ายใคร
หรือทำให้จิตใจเราเขาร้อนรนขึ้นมา การทำดี การใช้ชีวิตดี
เมื่อเทียบกับกุศลกรรมบท ๑๐ ซึ่งเป็นการขยายส่วนศีล ๕ ออกมานั้น ได้แก่
การไม่ฆ่าชีวิตอื่นๆ การลักขโมยฉ้อโกงทรัพย์สินที่ไม่ใช่ของตนไป
และการผิดลูกเมียผู้อื่นหรือสมัยนี้เรียกว่ามีกิ๊ก
ส่วนการใช้ชีวิตดีหรือเลี้ยงชีพดีได้แก่ อาชีพที่ไม่ใช่การค้าอาวุธ ค้ามนุษย์
ค้าขายชีวิต ค้าขายสุราสิ่งเสพติดสิ่งมึนเมา หรือค้าขายยาพิษ
ความพยายามดี สติดี และสมาธิดี เป็นส่วนของสมาธิในศีล สมาธิ ปัญญา สติดี (Right
Mindfulness) หรือสัมมาสติ
เปรียบได้กับเกราะนอกของจรวดที่ปกป้องส่วนอื่นของมรรคมีองค์ ๘
จากการยั่วยุภายนอก หลายครั้งที่เราตั้งใจดี มีความมุ่งมั่นที่จะทำดีต่อผู้อื่น
ไม่ทำร้ายใคร แต่เมื่อเกิดความโมโห ความโกรธขึ้นมาแล้วมี “สติ” ไม่ทัน
เราก็พลุ่งพล่านแสดงวาจาหรือกิริยาที่ทำร้ายผู้อื่นออกไปจนได้
บางคนตั้งใจมั่นว่าจะลดความตะกละของตนในการรับประทานอาหาร
เห็นผลจากน้ำหนักที่เกินพอดี น้ำตาลในเลือดที่สูงจนแพทย์ให้ควบคุม
แต่ถึงกระนั้นเมื่อพบอาหารโปรด ความอยากก็พุ่งขึ้นมา “สติ”
ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนมาดีพอ ทำหน้าที่ไม่ทัน นึกได้อีกทีหมดไปสองจานแล้ว
แบบนี้เองที่ “สติ” มีบทบาทสำคัญเสมือน “เกราะ”
ชั้นนอกที่คอยปกป้องการเข้ามากระทบต่อหนทางแห่งความสุขความดีของเรา
จึงไม่น่าแปลกใจที่สมัยนี้เราพบนักบริหารหรือประชาชนทั่วไปมากขึ้นที่ไปฝึกปฏิบั
ติธรรม ฝึกสติ ฝึกภาวนา ฯลฯ ซึ่งจะมีส่วนทำให้เรารู้กายรู้ใจของเราเร็วขึ้น
ทันขึ้น รู้ในปัจจุบันมากขึ้น
สติดีควบคู่ไปกับสมาธิดี หรือสัมมาสมาธิ (Right Concentration)
สติดีแต่ขาดสมาธิที่ดี
ไม่สามารถทำหน้าที่ได้เต็มที่ในฐานะตัวปกป้องหรือตัวรู้ทันที่ดี
เพราะไม่ตั้งมั่น ไม่มีแรงพอ
ซึ่งจะเห็นชัดได้เวลามีกิเลสหรือสิ่งยั่วยุที่มีกำลังแรงมากระทบ เช่น
โมโหลูกน้องมากๆ เรื่องแค่นี้ทำไมทำไม่ได้เสียที จะเกิดแรงผลักดันขึ้นมากลางอก
รู้สึกตัวนะ แต่ว่ายั้งไม่อยู่ รู้สึกตัวแผ่วๆ เห็นแล้วว่ากำลังก่อความโกรธ
เพียงแต่กำลังของสมาธิหรือความตั้งมั่นไม่มากพอ เห็นแว้บๆแล้วก็จางไป
กำลังความโกรธแรงกว่า มานึกออกอีกทีก็
ต่อว่าลูกน้องด้วยอารมณ์รุนแรงไปเรียบร้อยแล้ว
ลูกน้องเดินหน้ามุ่ยน้ำตาซึมออกไปจากห้อง
สมาธิเป็นเสาหลักของจรวดที่ยึดโยงหรือสนับสนุนส่วนอื่นๆในมรรคมีองค์ 8
เป็นที่ตั้งมั่นยึดโยงการเลี้ยงชีพดี ทำดี พูดดี คิดดี ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
ทำให้การมีสติรู้กายรู้ใจนั้นมั่นคงขึ้น
ไม่อ่อนยวบยาบหรือแปรเปลี่ยนไหวเอนไปตามแรงกระทบจากภายนอกมากนัก
สมาธิที่พวกเราคนทำงานในองค์กรต่างๆมีในการอ่านหนังสือหรือเขียนรายงานแบบนิ่งๆน
ั้น ก็มากพอสำหรับการมองเห็นอารมณ์ความรู้สึกที่ขึ้นมาในช่วงต้นๆอยู่แล้ว
หากใครที่รู้สึกฟุ้งซ่าน ใจวิ่งไปวิ่งมา สมาธิไม่ดี ฟังคนไม่ได้นาน
เดี๋ยวใจก็ลอยไป เดี๋ยวก็คิดนู่นนี่ หรือสวนกลับไม่ได้รู้ตัวเลยนั้น
อาจต้องการการฝึกสมาธิในรูปแบบเพิ่มบ้าง
หรือไม่ก็รู้จักพักผ่อนกายใจในรูปแบบต่างๆที่ทำให้จิตใจเบาลง สงบลง เช่น
การทำสวนด้วยใจสบายๆ ฟังเพลงเบาๆ เล่นโยคะ ออกกำลังกายด้วยใจเป็นสุข ที่สำคัญ คือ
“ความสุข” ซึ่งจะเป็นเหตุปัจจัยใกล้ที่ก่อให้เกิดสมาธิได้ง่าย
หากกิจกรรมใดยิ่งทำยิ่งหงุดหงิดไม่สบายใจ
เราอาจเปลี่ยนไปเป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับเรา เร้าให้เกิดความสุขพอดีๆ
จนมีสมาธิก็ได้
ความพยายามดีหรือความเพียรชอบ หรือสัมมาวายามะ (Right Effort)
คือพลังงานที่ใช้ขับดันจรวดทั้งลำไปสู่จุดมุ่งหมาย
ความพยายามดีนี้เป็นพลังงานที่กระจายเข้าไปในแต่ละส่วนของจรวด
และขับดันจรวดทั้งลำไปสู่ระดับของจิตวิญญาณที่สูงขึ้น ถ้าไม่มีความพยายามที่ดี
จรวดอาจจะไม่ได้ขับเคลื่อนขึ้นไปสูงแต่อาจกลับพุ่งลงต่ำ
หรือตกลงต่ำเพราะแรงโน้มถ่วงของสังสารวัฏ
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนจรวดไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยความเร็วสูงสุด
ขับเคลื่อนเร็วเกินไปอาจทำให้การบรรลุเป้าหมายล่าช้าขึ้นไปอีก
เพราะจรวดร้อนจี๋เกินไป เครื่องน็อก ไม่สมดุล
ในทางกลับกันความพยายามที่หย่อนเกินไปจะไม่สามารถเอาชนะแรงโน้มถ่วงของสังสารวั
ฏหรือกิเลสทั้งปวงได้ หากแต่ความพยายามที่ “พอดี” หรือ “สายกลาง”
จึงจะทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างปลอดภัย
การคิดดีหรือตั้งมั่นดี (Right Thought), การพูดดี (Right Speech), การปฏิบัติดี (Right
Action) และการใช้ชีวิตดี (Right Livelihood) จะได้รับอิทธิพลจากการเห็นดี (Right View),
สติดี (Right Mindfulness), สมาธิดี (Right Concentration) และความพยายามดี (Right Effort)
คุณภาพจากจิตวิญญาณของเราะจะเปลี่ยนไปตามการขับเคลื่อนไปของจรวด
เมื่อพลังงานของความเพียรได้รับการจุดประกายประทุขึ้นมาจากความเห็นดี
วิ่งผ่านและกระตุ้นให้สติดีและสมาธิดีตื่นขึ้น ด้วยสติและสมาธิที่ดี
ทำให้เรามีการพูดดี ทำดี และใช้ชีวิตดี ทุกองค์ประกอบอยู่ในกรอบของการเห็นดี
ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงคุณภาพทีละนิดทีละหน่อยไปตลอดสายของการเดินทาง
จรวดจะขับเคลื่อนไปในทางที่ถูกที่ดี
ถ้ายังคงมีความเพียรชอบเป็นพลังในการกระตุ้นจรวดให้พ้นไปจากสังสารวัฎ
เราหรือจรวดนี้จะพ้นไปจากสังสารวัฎได้
ถ้าสามารถผลักตัวเองไปไกลพอที่จะหลุดว้าบเข้าไปในอีกโซนที่หลุดจากแรงโน้มถ่วง
การอุปมานี้เทียบกับการบรรลุอรหันต์ ซึ่งอาจไม่ใช่เป้าหมายของคนส่วนใหญ่
หากแม้เราไม่มุ่งไปบรรลุขนาดนั้น แต่หนทางแห่งการไปสู่สุขแท้จริงนี้
ยิ่งไปไกลยิ่งค้นพบความสุขมากขึ้น เป็นการเดินทางที่มีความสุขตลอดสาย
ภาพประกอบ ๑ The Rocket Model for the Noble Eight Constituent Path
วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552
Interview: Carl Steinitz on GIS and Design
September 16, 2009 in Design, GIS, Interviews
cslargeESRI writer Jim Baumann recently interviewed Carl Steinitz on the integration of GIS and design, and we share a portion of that interview here. Steinitz, Alexander and Victoria Wiley Research Professor of Landscape Architecture and Planning, has been teaching at the Harvard Graduate School of Design since 1966. His interests are reflected in his teaching and research on landscape change, methods of landscape analysis, visual quality, and landscape planning and design. In 1984, he received the Outstanding Educator Award of the Council of Educators in Landscape Architecture; he also received the 1996 Distinguished Practitioner Award from the International Association for Landscape Ecology (U.S.A.). In 1997, he was chosen by the student body to receive the annual Graduate School of Design Teaching Award.
Baumann: You have stated, “At large scale, you are dealing with strategy, at middle scale you are dealing with tactics and as small scale, you are dealing with details.” Can you elaborate?
Steinitz: It is a generalization. When planning at regional scale, with changes such as new infrastructure, urbanization and conservation, or when looking at a regional scale plan, nobody cares if a village has two or three story buildings. When planning a village or looking at a village plan, nobody cares if the garden of a home has an apple tree or a pear tree. But when we were designing our garden, we preferred a cherry tree to an apple tree. Focus is typically a function of the lens of scale.
Baumann: How can GIS best be used in relationship to design when considering these telescoping scales?
Steinitz: We need to be able to work at several scales of resolution in space and classification.
Baumann: At what point should GIS be introduced into the design process?
Steinitz: GIS does not have an automatic role. If it is to play a role, it must be considered as part of the process of ‘designing’ the methodology of any study.
Baumann: How can GIS be used more effectively as a tool in architectural and landscape design?
Steinitz: This depends on many things: e.g. computer technologies, intuitive, easy-to-use interfaces, relevant software, appropriate data scale(s), needs for analysis, available or adapted models, trained people, and even fear and mistrust. The larger and riskier the design project, the more GIS is likely to be used.
Baumann: How would GIS tools that simulate dynamic processes be best used in the design process?
Steinitz: They can be useful in impact assessment when comparing alternatives, but would “best” be used in making designs—change models—iteratively, in immediate feedback interaction with impact evaluations.
Baumann: Would the development of a GIS data model for GeoDesign be feasible? If so, what would be included in it?
Steinitz: Not “a” data model, but rather capabilities for very flexible data models to meet particular data needs in time, space, and classification to be adapted to meet the needs of any particular design project. This will only be useful if the methodological framework for design can USE the data flexibilities in its several stages.
Baumann: Does a digital environment/alternative reality like Second Life play a role in landscape architecture?
Steinitz: I am not a fan of Second Life and consider it a sad retreat from real life. However, it has a potentially useful software base and is of interest to researchers at the Centre for Advanced Spatial Analysis at University College London where I am Visiting Professor, and at other research groups. I expect it to be used more frequently to simulate projected designed environments. It can be adapted to be the medium of design.
Baumann: Michael Goodchild recently posed the question, “If spatial dependence in the form of Tobler’s First Law—nearby things are more related than distant things—is a general and fundamental principle of geography, what is its meaning in design?”
Steinitz: I have no idea what it means in design. But I do know that more and more designers are NOT following this law, and that technologies are increasingly enabling real time multi-user collaborations in Web-space. I have done this in teaching and research for years, and not with “local” collaborators.
Baumann: What does the future hold for the use of technology in design?
Steinitz: We will increasingly see experimentation in participatory design methods that are technology-driven, and that directly link to data acquisition at the beginning and to constructing changes at the end. Will the results be more “successful”? Who knows…but one can try.
วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552
How Business Intelligence and GIS are becoming more integrated.
Most people may think of geographic information systems (GIS) simply as Google maps or the navigation system for their car, but GIS tools do a lot more than help people get from A to B. Businesses are adding a spatial dimension to data to help make critical decisions in this tough economy.
We recently interviewed Yellowfin CEO Glen Rabie to find out more about this topic and why Yellowfin Business Intelligence with spatial data is so much more than just Google Maps.
Q. How does GIS integrated with BI differ from the traditional GIS approach?
A. A typical spatial specialists approach to GIS data is that it is about land use – and the optimisation of that – where to put that next store. Well on the one hand that is true and there is a place for stand-alone GIS apps to do just that, but the power of GIS is far greater. Land use changes – where you put a store or a branch today may not be that ideal in 5 years time – however what action can you take based upon your now relatively fixed network. How do you market to the changing landscape of customers and attract them to your store, how do you optimise the distribution channel that you have, how do you accurately compare one stores performance with another based on customer catchment segment analysis not necessarily proximity (still a spatial question believe it or not). This is the greater reality of GIS data and the massive potential it has for improving business performance.
Q. What are some of the newer and more innovative ways in which businesses are using GIS data beyond traditional niches?
A. When you think of GIS traditionally you think of government and urban planning. The major application in the private sector to date has been logistics. However, this is changing. One of the key uses of GIS is store/branch/dealer location. A great partner of ours eSite does just that – but there is a whole lot more. The most compelling is the use of spatial data for optimising marketing campaigns. Understanding the demographics of your desired customer and where they are located is critical if you want to maximise the return on your marketing dollar. Its not just about being able to target them but also understanding what the likely-hood of them accessing your channel is – especially if it is a bricks and mortar channel. What’s the drive time? etc.
Jet Interactive a partner of ours has a fantastic use of Yellowfin spatial. They use the spatial analytic capability of Yellowfin to provide 0800, 1300 call information. By tracking incoming calls Jet Interactive can overlay not the location of the call but all the demographic breakdown of the locations population. This is a highly valuable service to their customers who can now accurately measure the effectiveness of response rates to phone campaigns from a spatial perspective.
Q. How is GIS being integrated with traditional business Intelligence?
A.It is already happening with Yellowfin Spatial. This is location intelligence as simply another facet of our core application and designed for an Enterprise platform independent stack. It can access spatial data from a variety databases and provides map reports either through its dashboard interface or as a web service. These maps services allow developers to embed these maps into things like SharePoint or any other application. This approach is different than traditional GIS. It’s really mapping for the whole enterprise.
Q. You started out in as pure play BI presentation. Why did you get into GIS and when did you make the leap?
A. I did a little bit of urban planning whilst at University – dabbling really but I got a taste of how communities are formed and interact. Later I worked for a major bank in the BI space. We developed an impressive data warehouse but little focus was placed on the spatial side of BI. This was left to a separate department that concentrated on branch network optimisation –I did a little work with them and became fascinated by why some branches were more successful than others. Such a large part had to do with geography yet this information was never integrated into a manager’s view of branch performance. However, what really got to me was that organisations have whole departments that specialise in Geo Spatial business questions and yet these departments are rarely integrated into their general Business Intelligence and this I see as a major gap. I came to fundamentally believe that along with time – spatial data is a common and highly relevant dimension for any business.
So in the context of Yellowfin, I got really excited when in the last couple of years we had clients coming to us who really understood the interaction between BI and spatial data, and wanted to see their spatial data integrated into Yellowfin. It was with working with these customers that we really decided to take the plunge and develop our own native GIS functionality within Yellowfin to ensure its tight fit into BI. 4.0 was the first iteration of this – and not a bad start really. But with 4.1 it has really come into its own.
Q. So what are the main GIS enhancements in 4.1 and what does this mean for Yellowfin’s customers?
A. With 4.0 we enabled querying and rendering of spatial data types for Oracle and MySQL in 4.1 we have extended this to SQL Server 2008 and other databases. However – the really big breakthrough in this release was the ability to leverage Web Map Servers (WMS) for rendering spatial data. This allows us to connect to any GIS application that uses the WMS open standard for map delivery. This combined with the ability for users to build map layers – which can be turned on or off at run time– means that users have a huge amount of flexibility to built and view spatial analysis with an incredibly easy to use interface.
Q. You mentioned that there are big pay-offs for analysis with GIS. Does GIS belong integrated into core systems and applications such as CRM and ERP apps?
A. I think that just like BI and its GIS counterpart these are not core systems and are better integrated into application. Yellowfin specialises in providing an embeddable BI tool for software vendors. Our solution is easy to integrate and designed to support developers as well as end-users by allowing application vendors to rapidly bring spatial analysis to their customer base.
Q. The embedded mapping capabilities on websites often come from Google and Microsoft etc. What is Yellowfin’s niche?
A. Microsoft and Google are very much consumer-focused. They look at mapping as one more aspect of search. What they have done is pump prime the need for GIS applications. However, their technology is more geared towards fast visualisation access; it’s not a GIS system.
Yellowfin does not focus on the consumer – our target is the business user. Whilst we do use Google as a content provider for some of our maps we enable business users to actually build the content that can be visualised or analysed on the web. Analysis is where the big pay-offs on GIS arise, and this is where Yellowfin excels with its fully integrated Business and Spatial Intelligence solution.
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552
Top Five Benefits of GIS
September 14, 2009 in GIS
GIS benefits organizations of all sizes and in almost every industry. There is a growing interest in and awareness of the economic and strategic value of GIS, in part because of more standards-based technology and greater awareness of the benefits demonstrated by GIS users. The number of GIS enterprise solutions and IT strategies that include GIS are growing rapidly. The benefits of GIS generally fall into five basic categories:
1. Cost savings resulting from greater efficiency. These are associated either with carrying out the mission (i.e., labor savings from automating or improving a workflow) or improvements in the mission itself. A good case for both of these is Sears, which implemented GIS in its logistics operations and has seen dramatic improvements. Sears considerably reduced the time it takes for dispatchers to create routes for their home delivery trucks (by about 75%). It also benefited enormously in reducing the costs of carrying out the mission (i.e., 12%-15% less drive time by optimizing routes). Sears also improved customer service, reduced the number of return visits to the same site, and scheduled appointments more efficiently.
2. Better decision making. This typically has to do with making better decisions about location. Common examples include real estate site selection, route/corridor selection, zoning, planning, conservation, natural resource extraction, etc. People are beginning to realize that making the correct decision about a location is strategic to the success of an organization.
3. Improved communication. GIS-based maps and visualizations greatly assist in understanding situations and story telling. They are a new language that improves communication between different teams, departments, disciplines, professional fields, organizations, and the public.
4. Better geographic information recordkeeping. Many organizations have a primary responsibility of maintaining authoritative records about the status and change of geography (geographic accounting). Cultural geography examples are zoning, population census, land ownership, and administrative boundaries. Physical geography examples include forest inventories, biological inventories, environmental measurements, water flows, and a whole host of geographic accountings. GIS provides a strong framework for managing these types of systems with full transaction support and reporting tools. These systems are conceptually similar to other information systems in that they deal with data management and transactions, as well as standardized reporting (e.g., maps) of changing information. However, they are fundamentally different because of the unique data models and hundreds of specialized tools used in supporting GIS applications and workflows.
5. Managing geographically. In government and many large corporations, GIS is becoming essential to understand what is going on. Senior administrators and executives at the highest levels of government use GIS information products to communicate. These products provide a visual framework for conceptualizing, understanding, and prescribing action. Examples include briefings about various geographic patterns and relationships including land use, crime, the environment, and defense/security situations. GIS is increasingly being implemented as enterprise information systems. This goes far beyond simply spatially enabling business tables in a DBMS. Geography is emerging as a new way to organize and manage organizations. Just like enterprise-wide financial systems transformed the way organizations were managed in the ‘60s, ‘70s, and ‘80s, GIS is transforming the way that organizations manage their assets, serve their customers/citizens, make decisions, and communicate. Examples in the private sector include most utilities, forestry and oil companies, and most commercial/retail businesses. Their assets and resources are now being maintained as an enterprise information system to support day-to-day work management tasks and provide a broader context for assets and resource management.
http://gisandscience.com/2009/09/14/top-five-benefits-of-gis/
วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552
September 9, 2009 in GIS, Green Technologies
Earth-Recycle-WebGIS software supports applications that help conserve natural resources and reduce pollution, including:
1. Renewable Energy Siting - A popular application is determining the best location for renewable energy facilities such as solar and wind generation sites. GIS is helping many organizations perform these studies at multiple scales ranging from national to local settings.
2. Energy Savings via Automated Routing – Organizations with vehicle fleets can realize almost immediate energy savings by using GIS-based logistics planning software for optimized routing. These applications provide huge benefits in reduced fuel consumption–typically 15% – 20%–and benefit both private and public organizations dealing with dispatching and routing inspectors, field workers, and home deliveries, as well as paratransit agencies and trucking companies.
3. Carbon Accounting - GIS is being used to acquire measurements and monitor carbon balance geographically. This is happening at many scales, from global down to local geographies. The Clinton Foundation, working with the Australian government, has created a national system whereas American Forests has set up accounting systems to measure the change in carbon balance within metropolitan areas.
4. Conservation Planning - GIS is being used to define wildlife areas and corridors and integrate this knowledge for better land use planning.
5. Land Use and Transportation Planning - GIS is being used by planners to support the design of more sustainable cities, regions, and states.
http://gisandscience.com/2009/09/09/five-green-applications-of-gis/
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552
The Rise of Geoconsumerism
September 2, 2009 in GIS, Visualization
New Tools, the GeoWeb, Ubiquitous Data Bring “GIS for Everyone” Vision to Life
The vision of “GIS for everyone” has been around for a long time. GIS is a transformational technology, with the ability to empower the masses to make better decisions. But from an implementation standpoint, for many years the “GIS for everyone” vision was not very practical. For the most part, GIS use remained fairly exclusive; the tools, data, and decision making were relegated to a fairly small number of “GIS professionals.”
Happily, this landscape has changed over the course of the last few years. Development of a new generation of geospatial tools, proliferation of the Internet as a backbone for sharing and collaborating, and widespread availability of geospatial data have laid the foundation. The infrastructure is now in place to deliver powerful geospatial information and applications to almost every inhabitant of our planet. We’re seeing the dawn of a new age; an age of “geoconsumerism,” where geospatial information developed by GIS professionals is packaged in a way that it is quickly and easily available for use by everyone. “GIS for everyone” is here.
To illustrate this point, let’s look at an analogy: electricity. Electricity has been around for a long time. Scientists and researchers lead the “discovery” of many of the details of electricity. Once many of the details were discovered, engineers set out designing and building the infrastructure to electrify the world. Once the infrastructure was in place, inventors and industrial designers set about building products that leveraged the hard work of the engineers and delivered products to the masses—easy-to-use appliances for people who could benefit from this technology, but who didn’t need to know the details of amps and ohms, or how the electricity they were using was generated and where it actually came from. Throughout this evolution, electricity became available to exponentially more people and the knowledge and skills needed to work with electricity became heavily stratified.
Evolution of the Electrical Consumption System.
We don’t often think of it in this way, because most of the world has reliable electricity infrastructure, but every time we do something as simple as flip a light switch or turn on a TV, we are touching one small end of a huge, complex, sophisticated system designed to generate and transmit electrical current across many miles and deliver it where, when, and how we need it, in the most transparent fashion possible. The initial foundational work by the engineers to build the infrastructure, as well as ongoing work to maintain it and advance it, coupled with the brilliance of the inventors and industrial designers who give us products that leverage the electric infrastructure and make our lives easier and better, is often not fully appreciated by the consumer. And in a mature system, that’s the way it should be: the consumer should flip the switch, and it should “just work” in the most transparent way possible.
Looking at geospatial information, GIS professionals have been working hard over the last couple of decades to build the infrastructure. While not “complete,” this infrastructure is to the point where it is comprehensive enough that it can be of great value to many people beyond the traditional GIS audience. Making the infrastructure accessible to “everyone” is now in the hands of developers.
Evolution of the Geospatial Information Consumption System.
Some developers are taking a more traditional approach, often developing sophisticated applications for very specific uses, while others are looking at ways to bring more simple applications to a much larger audience. Both approaches are valuable and needed, and the line between them is beginning to blur as developers focus on using the most appropriate techniques, tools, and methods for the intended audience.
The next generation of geospatial applications will have broad relevance across society, will leverage the infrastructure built and maintained by GIS professionals, will make people’s lives easier and better, and will be transparent and “just work.” Developers, this is your time. “Everyone” is waiting.
http://gisandscience.com/2009/09/02/the-rise-of-geoconsumerism/
วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Top Nine Favorite Innovations in ArcGIS 9.4
August 26, 2009 in Conferences, ESRI, GIS
calkins…from a presentation by John Calkins at the 2009 ESRI International User Conference in San Diego, California, in July of 2009…
9. User Interface. ArcGIS 9.4 presents a new user experience. The upgraded look includes dockable windows that can automatically hide. Also, a new Catalog window is embedded in ArcMap. We expect these and other underlying framework changes will greatly improve your productivity.
8. Attribute Tables. At 9.4, attribute tables are now displayed in a dockable window. You’ll see a new toolbar across the top, giving you easier access to the tools you need. And you can open multiple tables using the tabbed interface at the bottom.
7. Search. A new search capability complements the Add Data dialog. The new search tool allows you to type in search criteria and with subsecond response time locate the data you’re interested in. You can use special keywords like points, lines, polygons, or layer file—to further refine your search.
6. Reporting. ArcGIS 9.4 includes a new reporting capability. A series of predefined templates makes it easier to make nice, formatted reports. Once you’ve created a report, you can now save the report so that you can later re-execute it with a different selected set.
5. Geoprocessing Tools. With ArcGIS 9.4, we’ve enhanced the customization capability so you have access to all the analysis tools. You can drag and drop the Buffer tool or the geoprocessing model onto a toolbar. There’s also a new geoprocessing option that allows you to enable background processing.
4. Layers Tab. The new Layers tab is like a smart legend that will only show you the symbology in the legend for the features that are in your current, visible map. It’s is a nice innovation to complement the traditional table of contents.
3. Symbol Search. To change symbols, you no longer have to browse through 20,000 different symbols looking for the right one, but you can simply do a search. It is far more efficient to search for symbols than browsing through more than the multitude of symbols that are included with ArcGIS.
2. Temporal Mapping. ArcGIS 9.4 is becoming time aware, making it easier to make temporal maps with ArcGIS. There’s a new Time tab in layer properties, as well as a new system clock that allows you to set the date and time.
1. Fast Basemaps. Prior to 9.4, when ArcMap updates the display, it redraws each layer sequentially. A new basemap layer in 9.4 enables continuous redraw.
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
123456789
ชั่วโมงที่12 / นาทีที่ 34 / วินาทีที่ 56
เวลาและวันที่ เมื่อเรียงกันแล้ว
12:34:56 07/08/09
1 2 3 4 5 6 7 8 9
ช่วงเวลานี้จะมีเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตคุณ
และตราบเท่าชั่วกาลปาวสาน
fom forward mail
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
How to map out a new role for yourself as a cartographer
If you like geography, are good on detail and have ace computer skills, you should consider a career as a cartographer.
By Caroline Roberts
Thursday, 30 July 2009
You might be forgiven for thinking that most of the world has been mapped by now. But, because of the constantly changing landscape and the growing amount of information about the earth available through technological advances, there's still a need for skilled cartographers to sift the data and turn it into something meaningful for the rest of us.
"Cartography involves assessing and amalgamating bits of geographic information and presenting them in a map form that's relevant for a particular user," says Mick Ashworth, a former editor of The Times Atlas Of The World who now runs his own company, Ashworth Maps and Interpretation. This can mean producing anything from maps to keep ramblers on track to surveys for oil and gas exploration.
It's a diverse field. There are opportunities in mapping agencies such as the Ordnance Survey, national and local government departments, and in industries such as utilities, and commercial map publishers. Britain also has some important map collections, and cartographers can choose to specialise in historical maps.
Map production involves a mixture of art, science and technology, with the latter becoming more important in recent years. The job now often involves the use of geographic information systems (GIS), which store data digitally and, as well as outputting maps, allow it to be analysed in different ways. The varied nature of the industry means cartographers come from a range of backgrounds including IT and graphic design. But Ashworth says it's important to have an interest in geography and some background in the subject. Attention to detail and good research skills are essential.
Most people's image of the Ordnance Survey stems from school geography lessons spent poring over trig points and gradients, but Ed Mainwaring's job in a cartographic design team involves creating maps in varied styles. He'll be designing spectator maps for the London stage of the cycling Tour of Britain one day and charts showing land levels for newspaper articles on the risk of flooding the next.
"I source the data and do the design work in graphics packages, drawing freehand on a computer," he says. Mainwaring came to the job via a degree in robotics and intelligent machines, and his interest in mapping was sparked when he designed a robot that used a GPS receiver to navigate. He now uses his IT expertise to programme GIS systems to output data for other cartographers. Imagination is important, he says, as you need to be able to visualise how the data can be translated on to paper.
"You have to create symbols that work with each other. There's a hierarchy of information for each map and you have to make sure the important things stand out," he adds. This involves communicating well with clients.
Above all, he enjoys the job's technical and creative challenges. "The Tour of Britain wanted little graphics rather than just symbols to represent major sites," he says. "I had to work out how to draw St Paul's Cathedral and Westminster Abbey so they're recognisable at one inch across."
But will internet mapping sites such as Google Earth lessen the need for cartographers? No, says Ashworth, adding: "Those things have raised people's awareness of maps, and made them question what a good map is. There will always be a need for cartographers to show them."
Cartography facts
* A degree in geography is a good starting point but other relevant subjects include art and design, IT, sciences, surveying and GIS. There are also opportunities to work overseas, so knowledge of a foreign language can be useful.
* For more information, visit the British Cartographic Society at www.cartography.org.uk where you can find a list of undergraduate and postgraduate courses.
* See the Association for Geographic Information, www.agi.org.uk, for a list of GIS degrees.
* Starting salaries for graduates are in the region of £20,000. A senior cartographer can earn £35,000 to £40,000.
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วาทะดังตฤณ ล่าสุด
- แต่ละปีคือขั้นบันไดลงสู่หลุมศพ ทุกขั้นบันไดมีทั้งเสบียงและความว่างเปล่าโรยอยู่ แล้วแต่คุณจะมองเห็นอะไรก่อน และเต็มใจเก็บอะไรไปบ้าง
- ถ้าแม้แต่ตาที่ใสสว่างยังมองไม่เห็นขั้นปัจจุบัน แล้วใจที่มืดบอดจะเห็นขั้นต่อไปได้อย่างไร
- การเสียเวลาให้กับความเศร้าหนึ่งนาที อาจไม่ได้หมายถึงการสูญเวลาในชีวิตไปเปล่าๆแค่หนึ่งนาที แต่อาจหมายถึงนาทีแรกของปีที่สูญเปล่าเลยก็ได้
- ไข้หนักอาจห้ามไม่ให้คุณขยับตัวไปทำความดี หรือกระทั่งง้างกรามขึ้นพูดดี แต่มันไม่สามารถห้ามคุณให้เลิกคิดอะไรดีๆได้เลย
- คุณจะรู้ว่าร่างกายแข็งแรงแค่ไหนก็จากความสามารถต้านไข้ หรือความรวดเร็วในการฟื้นไข้ และคุณจะรู้ว่าจิตใจเข้มแข็งขนาดไหน ก็จากความสามารถต้านความเศร้า หรือความรวดเร็วในการหายเศร้า
- ถ้าจะพักอย่าพักแบบนิ่งซมคล้ายตายแล้ว แต่ให้นิ่งพักอย่างรู้สึกว่ายังมีชีวิตอยู่
- แม้คุณจะยังไม่พบหลักฐานว่าชีวิตมีค่า แต่ศรัทธาในคุณค่าของชีวิตจะทำให้คุณมีแก่ใจใช้ชีวิตอย่างดี จนกระทั่งกลายเป็นชีวิตดีๆ ควรค่าแก่การเกิดมา
- ร่างของคนตายไม่แตกต่างกัน และไม่แน่ว่าคนเป็นจะต่างจากคนตาย วิธีแน่ใจว่าคุณแตกต่างจากคนตาย คือการไม่ปล่อยให้นาทีนี้ผ่านไปด้วยอาการงอมืองอเท้า
- การรู้ตัวว่ายังมีชีวิตไม่ใช่เรื่องน่าดีใจ ความภูมิใจในการมีชีวิตต่างหากที่ใช่
- อยู่อย่างไร้ค่า เพราะไม่หาเรื่องน่าภูมิใจให้ตัวเองทำ
- คนส่วนใหญ่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตไปในการทำเรื่องน่าอาย แต่ชั่วขณะที่ทำก็สำคัญว่าเป็นเรื่องน่าภูมิใจ
- โลกจะเปลี่ยนแปลงไปนิดหนึ่ง ในทันทีที่คุณแตกต่างไปจากเดิม
- พายุฝันที่วกวนขณะหลับตาไม่ใช่คำพยากรณ์ ไฟฝันที่ลุกโชนขณะลืมตาต่างหากที่ใช่
- คุณจะใช้ชีวิตอย่างไรก็เป็นทุกข์อยู่ดี แต่โดยแท้ที่จริงแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ก็ได้
ดังตฤณ
กรกฎาคม ๕๒
www.dungtrin.com
วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Recent Google Geonews: My Location for Google Maps, What's Here Feature, Chrome OS and much more from SlashGeo
http://industry.slashgeo.org/article.pl?sid=09/07/09/198213&from=rss
วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552
GAW for Kids and Teens
You might not know it, but you're already a global citizen—geography is a part of your everyday life. Find out how with the list below, then download your own Action Kit and check out More to Explore for Kids and Teens for links to great games, activities, and more. Get started!
Geography Is 10 Cool Things
1. It's big.
It's more than maps. Geography's about knowing what's where, why it's there, and why it matters. Knowing geography will make your life more interesting, more exciting, and more fun. Geography opens doors. Get it.
2. It's out there.
Geography is near AND far. It's in your backyard and across the globe. Get to know your community and the people in it, and plan trips with your family to new places you've never been. Want to go overseas someday? Get a passport. Learn a new language and check out foreign exchange and other study-abroad programs for students. Travel the world virtually. Read stories from world travelers.
3. It's what you know.
How's your Global IQ? Test it, then try to outsmart GeoSpy and the GeoBee Challenge. If you're in fourth through eighth grade, you can compete in the National Geographic Bee.
4. It's what you listen to.
Regions have rhythms, and the sounds you like may echo cultures a world away. National Geographic, the Smithsonian, and iTunes are all good places to look for great new world music.
5. It's what you eat.
Ever explored the world with a fork and a spoon—or with chopsticks? When you eat out, visit restaurants that serve ethnic foods. Find the region your food is from on a map when you get home. Try ethnic recipes and cook an international meal for your friends and family.
6. It's what you buy.
Everything comes from somewhere. A walk through the mall or the grocery store can be a journey around the world. What's in your closet? Your kitchen? Your living room? What are you wearing right now? Check the labels. Find out where things come from and how they got here.
7. It's what you do.
Slap a map up on your wall. Or get a Global Positioning System (GPS) unit and take part in the game of geocaching or EarthCaching. It's high-tech, real-life treasure hunting—locating items hidden around the world by other gamers.
8. It's academic.
When you get to pick your classes, choose ones that have "geography" in their titles or focus on learning about the world. Choose research topics that let you learn about exotic places and geographic issues like cultural differences and environmental challenges. And sign up for the AP Human Geography class.
9. It's your future.
Geography can take you anywhere and everywhere. One of the hottest fields now is Geographic Information Systems. And it's about understanding and tackling challenges—globally and close to home. Check out this Geography Career Guide for more. When applying to college, make sure to choose ones that offer geography courses and a major. (Here's a list.)
10. It's important.
You know how important geography is. Now make sure your teachers, parents, and friends aren't out of the loop. Point them toward MyWonderfulWorld.org so they can get geography, too.
go to www.MyWonderfulWorld.org
Geography Awareness Week 2009
You're on the front line in the fight to bridge our kids' geography gap. Here are some tools to give you much more than a fighting chance. Get started with the 10 tips below, then download your Action Kit and check out More to Explore for links to great classroom aids. 10 Ways to Give Your Students the World 1. Show students that geography is everywhere. 2. Bring it up. 3. Find global connections close to home. 4. Explore the planet using technology. 5. Make geography part of every subject. 6. Make it extracurricular. 7. Connect students with people from other countries and cultures. 8. Help students envision their futures. 9. Go there! 10. Sign up for the My Wonderful World e-newsletter. Visit this site: http://www.mywonderfulworld.org/index.html |
คนวัดโลก Die Vermessung Der Welt-- ดานีเอล เคห์ลมันน์ เขียน เจนจิรา เสรีโยธิน แปล..
เขาสนใจการเดินเรือไหม
ไม่แม้แต่นิด ออยเกนตอบตรง ๆ
สมัยก่อน กัปตันบอก หากเมฆครึ้มขนาดนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่แล้ว แต่ปัจจุบันเราสามารถเดินเรือได้โดยมิต้องอาศัยดวงดาว เพราะเรามีนาฬิกาที่เที่ยงตรงด้วยเครื่องมือโครโนมิเตอร์ของแฮริสัน ทำให้ปุถุชนคนธรรมดาสามารถเดินทางได้รอบโลก....
ถ้าเช่นนั้น ออยเกนถาม ยุคแห่งนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ก็จบลงแล้วหรือ ไม่มีไบลก์ ไม่มีฮุมโบลท์อีกต่อไป...
กัปตันนิ่งคิด ออยเกนสงสัยนัก ทำไมผู้คนจึงตัองใช้เวลานานกว่าคำพูดจะหลุดคำตอบอะไรออกมาได้ มันไม่ใช่คำถามยากเย็นอะไรสักหน่อย... มันจบลงแล้ว กัปตันตอบ และจะไม่มีวันหวนกลับมาอีก....
.....
คนวัดโลก หน้า 247
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552
คนวัดโลก Die Vermessung Der Welt-- ดานีเอล เคห์ลมันน์ เขียน เจนจิรา เสรีโยธิน แปล..
......
คนวัดโลก หน้า 67-68
Recent GeoNews from SlashGeo
Recent GeoNews: Maps, iPhone, ArcGIS Virtualisation, Intergraph and much much more
Read more of this story at Slashgeo.
คนวัดโลก Die Vermessung Der Welt-- ดานีเอล เคห์ลมันน์ เขียน เจนจิรา เสรีโยธิน แปล..
ระหว่างทางไปสเปน ฮุมโบลท์วัดความสูงของเนินทุกเนิน ชายหนุ่มปีนเขาทุกลูก เคาะเก็บตัวอย่างหินจากผนังผา ด้วยหน้ากากช่วยหายใจทำให้เขาสามารถสำรวจถ้ำทุกแห่งจนถึงห้องหับที่ลึกที่สุดได้เลยทีเดียว ชาวบ้านที่เห็นเขาจ้องอาทิตย์ผ่านเลนส์เซ็กท์แทนต์พากันคิดว่าเจ้าหนุ่มทั้งสองคงจะเป็นพวกป่าเถื่อนที่บูชาดวงดาว จึงขว้างก้อนหินไล่จนทั้งสองรีบกระโดดขึ้นหลังม้าเผ่นหนีแทบไม่ทัน สองครั้งแรกพวกเขาหนีรอดมาได้โดยไร้ร่องรอยบอบช้ำ แต่พอครั้งที่สาม บงปลองค์ก็ได้แผลใหญ่มาเป็นของที่ระลึก
เขาชักเริ่มสงสัยแล้วว่ามันจำเป็นด้วยหรือ ยังไงพวกเขาก็แค่เดินทางผ่านมา พวกเขาแค่อยากจะไปกรุงมาดริด ถ้าเดินทางตรงไปเลยก็น่าจะถึงเร็วกว่าเป็นไหนๆ ให้ตายเหอะ..
ฮุมโบลท์นิ่งคิด.... ไม่ได้... เขาบอกในที่สุด เสียใจด้วยจริงๆ แต่เนินใดที่ความสูงของมันยังไม่เป็นที่ประจักษ์ช่างเป็นการดูถูกสติปัญญาของเขาและทำให้จิตของเขากระสับกระส่ายหาความสงบไม่ได้ และหากคนเราไม่หาว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งแห่งหนใดอยู่ตลอดเวลา ก็คงจะก้าวต่อไปไม่ได้ ปริศนาไม่ว่าจะเล็กน้อยจ้อยกระจิริดเพียงใดก็ไม่ควรทิ้งไว้ข้างทางให้เปล่าประโยชน์
นับแต่นั้น พวกเขาจึงเดินทางตอนกลางคืนเพื่อให้ฮุมโบลท์ทำการวัดโน่นวัดนี่ได้โดยไม่ถูกรบกวน พิกัดในแผนที่ของพวกเขาควรถูกแก้ใหม่ให้ชัดเจนแม่นยำกว่านี้เป็นอยู่ตอนนี้ แผนที่สเปนเหล่านี้ก็ไม่แม่นยำ ฮุมโบลท์อธิบาย คนเราควรต้องรู้ให้แน่นอนสิว่ากำลังจะขี่ม้าไปที่ใดกันแน่
เอ้า แต่คนเขาก็รู้อยู่แล้วนี่ บงปลองค์ร้องค้าน ก็นี่ไง ทางหลวงหลัก มุ่งหน้าไปมาดริด จะรู้มากกว่านั้นไปหาพระแสงอะไร...
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ถนน ฮุมโบลท์ตอบ มันอยู่ที่หลักการต่างหาก
เมื่อใกล้ถึงเมืองหลวง แสงทิวาปรากฏเป็นสีเงิน มิช้าต้นไม้ก็เหลือน้อยลงจนแทบไม่มี ตอนกลางของสเปนไม่มีแหล่งเก็บน้ำเลย ฮุมโบลท์อธิบาย พวกนักภูมิศาสตร์นั่งเทียนเขียนอีกแล้ว ดินแดนแถบนี้เป็นที่ราบสูงมากกว่า และครั้งหนึ่งเคยเป็นเกาะผุดขึ้นกลางทะเลที่มีมาก่อนยุคประวัติศาสตร์.......
คนวัดโลก หน้า 39-40
GeoTourism
About Geotourism
Photograph by George F. Mobley
Geotourism is defined as tourism that sustains or enhances the geographical character of a place—its environment, culture, aesthetics, heritage, and the well-being of its residents.
Geotourism incorporates the concept of sustainable tourism—that destinations should remain unspoiled for future generations—while allowing for ways to protect a place's character. Geotourism also takes a principle from its ecotourism cousin,—that tourism revenue should promote conservation—and extends it to culture and history as well, that is, all distinctive assets of a place.
The Geotourism Charter: Governments and allied organizations that sign this statement of principles take a first step in adopting a geotourism strategy. Download the Geotourism Charter (PDF). After committing to a geotourism strategy, signatories then work with local communities to determine their geotourism goals.
What Is Sustainable Tourism?
Sustainable tourism, like a doctor's code of ethics, means "First, do no harm." It is the foundation for destination stewardship.
Sustainable tourism protects its product-the destination. It avoids the "loved to death" syndrome by anticipating development pressures and applying limits and management techniques that preserve natural habitats, heritage sites, scenic appeal, and local culture.
It conserves resources. Environmentally aware travelers patronize businesses that reduce pollution, waste, energy consumption, water usage, landscaping chemicals, and excessive nighttime lighting.
It respects local culture and tradition. Foreign visitors learn local etiquette, including at least a few courtesy words in the local language. Residents learn how to deal with foreign expectations that may differ from their own.
It aims for quality, not quantity. Destinations measure tourism success not just by numbers of visitors, but by length of stay, how they spend their money, and the quality of their experience.
What Is Geotourism?
Geotourism adds to sustainability principles by building on a destination's geographical character, its "sense of place," to emphasize the distinctiveness of its locale and benefit visitor and resident alike.
Geotourism is synergistic: All the elements of geographical character work together to create a tourist experience that is richer than the sum of its parts, appealing to visitors with diverse interests.
It involves the community. Local businesses and civic groups join to provide a distinctive, authentic visitor experience.
It informs both visitors and hosts. Residents discover their own heritage by learning that things they take for granted may be interesting to outsiders. As local people develop pride and skill in showing off their locale, tourists get more out of their visit.
It benefits residents economically. Travel businesses hire local workers, and use local services, products, and supplies. When community members understand the benefits of geotourism, they take responsibility for destination stewardship.
It supports integrity of place. Destination-savvy travelers seek out businesses that emphasize the character of the locale. In return, local stakeholders who receive economic benefits appreciate and protect the value of those assets.
It means great trips. Enthusiastic visitors bring home new knowledge. Their stories encourage friends and relatives to experience the same thing, which brings continuing business for the destination.
from: http://www.nationalgeographic.com/travel/sustainable/about_geotourism.html
ทดลองสำเร็จเอาชนะดินเค็มอีสาน
วันที่ 19 พ.ค. 2552
แนวหน้า
เพิ่มผลผลิตข้าวเท่าตัวฝีมือพด.
โอ่ทำได้11ล้านไร่เพิ่มแน่3ล.ตัน
นาย ฉลอง เทพวิทักษ์กิจ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า การดำเนินการทดลองพลิกฟื้นดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มเห็นผลดีมากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะในพื้นที่ดินเค็มน้อย และเค็มปานกลาง ซึ่งมีพื้นที่โดยรวมประมาณ 11 ล้านไร่
ทั้งนี้ จากการใช้กระบวนการพัฒนาที่ดินเข้าไปจัดการ ทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 เท่าตัวคือเดิมจากไร่ละ 20-30 ถัง เป็น 40-50 ถัง ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงสำหรับข้าวนาปีภาคอีสาน ที่เผชิญปัญหาดินเค็ม
" ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น 20-30 ถัง/ไร่ หรือเพิ่มขึ้นไร่ละ 200-300 กิโลกรัม ลองคิดดูว่าพื้นที่ดินเค็มน้อย และดินเค็มปานกลาง รวม 11 ล้านไร่ ปีหนึ่งจะได้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นถึง 2.2-3.3 ล้านตันเลยทีเดียว"
วิธี การแก้ไขปัญหาอาศัยหลักการที่ว่า ถ้ามีน้ำ มีความชื้นในดินจะกดเกลือไม่ให้ขึ้นมาทำอันตรายแก่ต้นพืช กรมพัฒนาที่ดินใช้ปุ๋ยพืชสด แล้วไถกลบ เพื่อให้เป็นอินทรียวัตถุ ซึ่งจะอุ้มความชื้นได้ดี นอกจากปลูกพืชเศรษฐกิจได้ดีแล้ว ยังเพิ่มผลผลิตไปในตัวด้วย
นอกจากนั้นใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยใช้พันธุ์ข้าวทนเค็ม เช่น ข้าวขาวดอกมะลิ 105 และใช้การปลูกโดยการปักดำ และเพิ่มจำนวนต้นข้าวต่อกอมากกว่าปกติ เพื่อให้แตกรวงมากขึ้น
นาย ฉลองกล่าวว่า กรมพัฒนาที่ดินได้เข้าไปพัฒนาที่ดินเค็มผืนใหญ่ 10,000 ไร่ บริเวณเมืองเพีย อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีทั้งดินเค็มจัด เค็มปานกลาง และเค็มน้อย โดยใช้วิธีการบูรณาการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ เช่น ระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ทำคลองระบายน้ำ ทำท่อลอด ปรับพื้นที่ให้ราบ เป็นต้น
" วิธีการเหล่านี้จะระบายความเค็มออกไปได้ ส่วนหนึ่งปลูกหญ้าทนเค็มและกระถินออสเตรเลีย โดยปกติพื้นที่เค็มจัดจะเห็นเกลือปรากฏบนหน้าดิน และไม่สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจได้เลย หลังจากผ่านมา 2-3 ปีขณะนี้สามารถปลูกข้าวได้แล้วประมาณไร่ละ 40 ถัง และกำลังขยายผลมาทำแปลงทดลองอีก 2 แห่งที่ อ.พระยืน จ.ขอนแก่น และ อ.ขามทะเลสอ จ.นครราชสีมา"
นาย ฉลองกล่าวอีกว่า เดิมทีเดียวเกษตรกรไม่ให้ความสนใจกับการทดลองของกรมฯ แต่หลังจากสามารถปลูกข้าวได้ในพื้นที่เค็มจัดที่พัฒนาแล้ว ทำให้ชาวบ้านสนใจเข้าร่วมการแก้ปัญหาดินเค็มมากขึ้น โดยกรมทำหน้าที่ถ่ายทอดให้ความรู้ในการปรับปรุงดินแก่เกษตรกร และแจกเมล็ดพันธุ์ปุ๋ยพืชสด
พื้นที่ ภาคอีสานเป็นดินเค็มที่มีเกลืออันเนื่องจากอิทธิพลของแหล่งเกลือ ภายใต้แอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร แบ่งเป็นดินเค็มจัด 3 แสนไร่ เค็มปานกลาง 3.8 ล้านไร่ และเค็มน้อย 7 ล้านไร่
http://www.dmr.go.th/ewt_news.php?nid=9592