วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Launch of Happiness Engineering

The Launch of Happiness Engineering
18
May
Nick
Let’s assume for a minute that the predictions in the last post are correct and that technology will enable humanity to become maximally happy. What kind of technological advances could get us there?

Here are some possibilities:

A Happiness Pill
This is arguably the most straightforward possibility. We’ll simply take a pill to change the chemistry in our heads in a favourable way, making us happier.
Crucially, the pill must not have any negative side-effects, such as feeling worse later as a counter-reaction to the pill (“crash”) or becoming addicted. Unfortunately, all of today’s “happiness pills,” whether they be caffeine, nicotine, Ecstasy, Prozac or others, do have considerable side-effects.

Gene Modification
Happiness is inherited – at least partially. Scientists in Scotland and Australia who studied more than 900 pairs of twins found that genes play a significant part in determining how happy we are in life (read more here).
As genetic modification becomes more feasible, the question is: Should we change our offspring’s genes in a way which makes them happier? Asked another way, can we accept responsibility for not taking advantage of these opportunities, thereby preventing them from leading significantly happier lives?

Artificial Brain Stimulation
Our brain creates the world (“reality”) based on the stimulation it receives through touch, smells, sight, or other senses. If we could control these impulses (e.g., as depicted in the movie The Matrix, where brains are kept in gelatinous substances stimulated artificially by computers), we could create fake, but happy worlds.
(Other ?)
As these opportunities are not available yet, one may be inclined to wait until they become available and then consider applying. However, this could mean lost time. If we appreciate their anticipated outcome (which will be evaluated in more detail in future posts), we should actively aim to support their development.

Surprisingly, there are few focused efforts to develop these technologies (and discuss related questions, such as their ethical implications). I find this mind-boggling, considering that almost everything we do is directed at achieving happiness. Is it the fear of the unknown that has prevented us from searching for those technologies?

To fill the gap, I propose launching a new initiative: Happiness Engineering.

What is Happiness Engineering?

Here is a first shot at a definition:

Happiness engineering is the systematic application of scientific methods to create states which are perceived as happier by the individual(s) experiencing them (compared to the states when those methods are not applied) while minimizing the negative counter- or side-effects of creating such states.

Beyond the core task of developing happiness-creating technologies, the field of Happiness Engineering should focus on:

Providing transparency on existing efforts to create happiness (and detailed explanations of their successes and failures)
Evaluating possible outcomes of happiness technologies and contributing to ethical discussions
Reducing the risks potentially posed by the new technologies
Raising public awareness for the initiative and its goals and aims
Raising funds to support the initiative
At this point, I’d like to know what you think about this. Should we pursue such an initiative, researching ways to create happiness through technology and actively addressing the ethical questions which result from those efforts? Or should we refrain from accelerating this development (which will come either way) and adopt a wait-and-see attitude?

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553




Research Agenda for Geography NU

"ถ้าไม่ใช้อำนาจแล้วจะถูกอำนาจใช้"

"ถ้าไม่ใช้อำนาจแล้วจะถูกอำนาจใช้"
เปลว สีเงิน 6 พฤษภาคม 2553 - 00:00
"จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ปฏิวัติ ๒ ครั้ง ครั้งแรก-ยึดอำนาจรัฐบาล "จอมพล ป.พิบูลสงคราม" เมื่อ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ และตั้งให้ "นายพจน์ สารสิน" เป็นนายกฯ รักษาการ ๙๐ วัน เลือกตั้งใหม่ได้ "จอมพลถนอม กิตติขจร" เป็นนายกฯ ครั้งที่สอง-นายกฯ ถนอมเจอมรสุมรัฐสภา "ลาออก" ๑๙ ต.ค.๐๑ จอมพลสฤษดิ์ซึ่งพักผ่อนอยู่อังกฤษทราบข่าว บินกลับมาถึงตอน ๓ ทุ่มคืนที่ ๒๐ ต.ค. ตีนแตะสนามบินปุ๊บก็ "ยึดอำนาจ" ปั๊บ และขึ้นเป็นนายกฯ เองเมื่อ ๙ ก.พ.๐๒ จนอสัญกรรมเมื่อ ๘ ธ.ค.๐๖
ที่ผมเล่าย่อๆ มาทั้งหมดนี้ ก็เพียงอยากบอก "นายกฯ อภิสิทธิ์" คำเดียวว่า จาก ๒๕๐๐-๒๕๐๖ รวมเวลา ๖ ปี ของจอมพลนักรัก ผู้สร้างประวัติศาสตร์ "เผด็จการสร้างชาติ" ให้เป็นตำนานเล่าขานตราบถึงทุกวันนี้ ท่านใช้คำ ๑๗ คำเท่านั้น "ปฏิวัติสังคมชาติ" สำเร็จ
ยึดอำนาจครั้งแรก ยึดเสร็จ มอบให้ "นายพจน์ สารสิน" รับภาระนายกฯ ๙๐ วันเสร็จ ท่านพูด ๗ คำ ก่อนกลับไปทำหน้าที่ทหารดังเดิม ๗ คำนั้น มัดใจคนไทยทั้งชาติ ไม่ว่า เศรษฐี-ผู้ดี-ไพร่-ยาจก-วณิพก-ขอทาน-พระ-เถน-เณร-ชี ให้จำท่านในอารมณ์ถวิลหาด้วยวลีว่า
"พบ-กัน-ใหม่-เมื่อ-ชาติ-ต้อง-การ"!
เมื่อยึดอำนาจครั้งที่สอง รวบทั้งอำนาจทหารและอำนาจรัฐบาลเบ็ดเสร็จขึ้นเป็นนายกฯ เอง ท่านใช้คำพูด ๑๐ คำ ทำให้ข้าราชการ-ทหาร-ตำรวจ และทุกองคาพยพในชาติทั้งที่เป็นพวก และไม่ใช่พวก ฮึกเหิม-พร้อมใจ-ไม่พรั่น ขอเพียงสฤษดิ์สั่ง แม้ดำน้ำ-ลุยไฟ ทุกคนพร้อมยอมตาย เพื่องาน "ปฏิวัติชาติ" สู่เป้าหมายตามแผน
๑๐ คำนั้น มันคืออะไรกันนะถึงได้ "ขลัง" โดยไม่ต้องลงยันต์เช่นนั้น หลายท่านคงจำได้ เพียงแต่ชิน จนคร้านจะนำมาใคร่ครวญกันเท่านั้นเอง
"ข้า-พ-เจ้า-ขอ-รับ-ผิด-ชอบ-แต่-ผู้-เดียว"!
นี่ไง...ลองผู้นำประกาศว่า "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว" บรรดาผู้ตาม จะมีใคร-คนไหนไม่เต็มใจรับ ปฏิบัติ-ชัด-จบ บ้างล่ะ ในเมื่อลูกพี่ใหญ่รับประกันตายแทน แล้วมันจะมีลูกน้องคนไหนไม่ "แพ้ใจ" เจ้านายก็ให้มันรู้ไป เพราะ๑๐ คำที่ว่า "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว"
นั่นเท่ากับ สุข-สุขด้วยกันโว้ย...
แต่ถ้าซวย พวกมึงหลบไป กู...นายรับเอง!
เนี่ย...เราไปศึกษา เราจะเห็นว่าจอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจ "เผด็จการทหาร" ทำหลายสิ่ง-หลายอย่างเป็นรากฐานให้อยู่ถึงทุกวันนี้ จุดแข็งอยู่ที่คำ ๑๐ คำนี้เท่านั้นในการ "ซื้อใจ" ลูกน้อง-บริวาร และคนที่ถูกบริหารทั้งประเทศ
ท่านไม่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การเงิน การคลัง การลงทุน การพัฒนาอะไร นอกจากคำว่า "เยส-ดอลลาร์" แต่ว่า "โน-เงินไทย" คือท่านชอบกินเงินอุดหนุนจากนอก แต่ไม่โกงเงินจากภาษีของชาวบ้าน ก็ดีอย่าง-เลวอย่าง
ที่สำคัญ "ท่านฉลาด" เด็ดขาด-ไม่ยอมใคร แต่พร้อมค้อมหัวให้ "คนเก่ง-ที่ไม่โกง"!
และคนเก่งที่ท่านต้องการนำมาใช้เพื่อการ "ปฏิวัติสังคมชาติ" คือใครท่านทราบมั้ย คือคนที่ท่านแค้นจนอยากฆ่าเพราะขวางทางการโกงแบงก์สมัยท่านเป็นนายทหารใหญ่ แต่พอคุมอำนาจบริหารประเทศ คนที่ท่านอยากฆ่า กลับเป็นคนคนแรกที่ท่าน "ตะกายหา" ให้กลับมาช่วยทำงาน...ปฏิวัติโครงสร้างสังคมชาติ
"ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์" ปรมาจารย์ทางเศรษฐกิจและการคลัง พ่อของนายจอน-นายใจ อึ๊งภากรณ์ นั่นไง!?
พูดถึงการปฏิวัติ-การยึดอำนาจ ท่านอย่าเข้าใจไขว้เขวนะครับ ที่ทหารลากปืน-ลากรถถังมาขับไล่รัฐบาลทักษิณ อย่าง ๑๙ กันยา ๔๙ ที่พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ทำนั้น เขาเรียกว่า "ยึดอำนาจ" ไม่ใช่ปฏิวัติ
ส่วนการปฏิวัตินั้น จะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดรื้อโครงสร้างระบบ-ระบอบเดิมทิ้ง แล้วนำของใหม่มาใช้แทน เป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดเฉียบขาด ฉับพลัน พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เห็นผลทันตาเห็น ถ้าเป็นทางการเมือง สมมุติเปลี่ยนจากประชาธิปไตยเป็นคอมมิวนิสต์ นี่เรียกปฏิวัติ
เลิกระบบเกษตรแล้วเปลี่ยนเป็นระบบอุตสาหกรรมเครื่องจักรหมด นี่ก็เรียกปฏิวัติ ตั้งแต่เกิดมาโตเป็นหนุ่ม-เป็นสาวยันโทรม ไม่เคยนุ่งกางเกงในเลย จู่ๆ หันมานุ่งกางเกงในชนิดไม่ใส่แล้วออกจากบ้านไปไหนไม่ได้ นี่ก็เรียกว่าปฏิวัติตัวเอง
แต่อย่างลากรถถังมาแล้ว "ชิ้ว...ชิ้ว...มึงออกไป กูเป็นรัฐบาลแทนเอง" แล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม โกงกันเหมือนเดิม พวกมึง-พวกกูเหมือนเดิม ข้าราชการก็มาสาย-บ่ายกลับเหมือนเดิม ปิดทางด่วนตะพึดตะพือเหมือนเดิม
อย่างนี้ไม่เรียกปฏิวัติ เรียกว่า "สมบัติผลัดกันแดก" เพียงล้มรัฐบาล แต่ไม่ได้ล้างระบอบ
พอเข้าใจกันนะครับ!?
อย่างจอมพลสฤษดิ์นี่อาจเรียกได้ว่า "กึ่งปฏิวัติ-รัฐประหาร" คือยึดอำนาจแล้วเปลี่ยนระบบ แต่ไม่ได้เปลี่ยนระบอบ คือจากระบบรัฐสภาไปเป็น "ระบบเผด็จการ" แต่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเหมือนเดิม
ที่ผมให้เครดิตว่า "กึ่งปฏิวัติ" เพราะท่านรัฐประหาร-ยึดอำนาจบริหารประเทศแล้ว ท่านปฏิวัติโครงสร้างสังคมชาติหลายอย่าง เปลี่ยนจากสังคมเกษตรพอกิน-พออยู่ภายใน ไปเป็นสังคมเกษตรอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก เปิดประเทศให้ทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน ปฏิวัติ-จัดระบบสถาบันการเงิน-การธนาคารใหม่ให้เข้ามาตรฐานโลก ตั้งสำนักงบประมาณ ตั้งสภาพัฒน์ มีการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นเข็มทิศนำประเทศ ฯลฯ
เรียกว่า "จัดโครงสร้างสังคมชาติใหม่" เป็นรากฐานไว้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนวันนี้ ใครจะชี้ว่าท่านพาประเทศหลงทางจนเป็นทาสระบบทุนชนิดถอนตัวไม่ขึ้น ผมก็ไม่เถียง แต่อยากจะบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ในยุคหนึ่ง-สมัยหนึ่ง ก็ย่อมถูกต้อง-เหมาะสมกับยุคนั้น สมัยนั้น
แต่ผ่านมา ๕๐ กว่าปี จะโทษจอมพลสฤษดิ์ไม่ได้ ต้องโทษทุกรัฐบาล และทุกคน เอาแต่กอบโกยผลิตผลจากมรดกปฏิวัติโครงสร้างสังคมของจอมพลสฤษดิ์ โดยไม่ยอมวิวัฒนาการโครงสร้างชาติตามไปกับวัน-เวลา-สถานการณ์ในแต่ละยุคสมัยด้วย เหมือนเรามีโรงงานที่พ่อสร้างไว้ ๕๐ ปี เราก็เพลินแต่กอบโกยผลได้จากผลิตผลเครื่องจักรนั้น
ผ่านไป ๕๐ ปี ไม่ซ่อม ไม่เปลี่ยนเครื่องจักร ถึงวันนี้ จากยุคไอน้ำมาเป็นยุคไอที แล้วเราจะมาโทษว่า "ที่พ่อทำไว้ไม่ดี" โครงสร้างเกษตรของไทยป่นปี้ อุตสาหกรรมทุนทำให้ชาวไร่-ชาวนาเป็นหนี้ แต่พ่อค้า-นายทุนรวย อย่างนี้เห็นจะไม่ถูกต้องนัก
การนำประเทศที่เคยอยู่กันแบบ "พออยู่-พอกิน" สุขสบายกันถ้วนหน้าตามอัตภาพ ไปเป็นระบบทุนข้ามชาติ ระบบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกในยุคจอมพลสฤษดิ์ จนถึงวันนี้ ทั้งประเทศและคนไทยกลายเป็น "ทาสระบบทุน" กันไปหมดนั้น นั่นก็เพราะพวกเรา "เห็นแก่ตัว" ดูดทุกอย่างเอาจากประเทศ แต่ไม่เคยสนใจจะให้อะไรกับประเทศ
เพราะทั้งนักการเมือง ทั้งพ่อค้า-นายทุน "น้อยคน" จะสำนึกด้วยเอื้อเฟื้อในคำว่า
ได้แล้วรักษาเพื่อ "อนาคตส่วนรวม"!?
"จอมพลสฤษดิ์+อาจารย์ป๋วย" นั่นแหละครับคือ "ต้นตำรับปฏิวัติสังคมชาติ" จะเรียกว่าเป็น "เผด็จการที่มีคุณูปการ" แก่สังคมชาตินับตั้งแต่ประเทศไทยมีการยึดอำนาจมาก็ย่อมได้ เพราะท่านไม่ได้ยึดอำนาจเพื่อกินชาติ แต่ท่าน "ปฏิวัติ" เพื่อสร้างชาติ เป็นมรดกงานฝากไว้จนถึงวันนี้
เศรษฐกิจยุคจอมสฤษด์ จะเรียกว่ายุค "เศรษฐกิจ ๕๐ สตางค์" ก็ย่อมได้ ใครมีเงินติดกระเป๋าแค่ ๕๐ สตางค์พาสาวนั่งรถเมล์ชมกรุงได้ทุกสายรอบเมือง หิวกระหาย ร้อนนอก-ร้อนใน นั่งร้านไหนสั่งโอเลี้ยงมาบ้วนปากได้ ทุกร้าน-ทุกแก้ว-ทุกราคา ๕๐ สตางค์!
ใครทำซ่า เจอข้อหาอันธพาล โน่น...ส่งไปซ่าอยู่ในลาดยาว ไอ้ที่จะชุมนุมสันติ-อหิงสา มาตั้งเวทีก๋าๆ แสดงบทเหี้ยตะกายตึกอย่างนั้นน่ะ สฤษดิ์เอาตายตั้งแต่ยังเป็นแค่ไข่เหี้ยนั่นแล้ว!!!
ครับ...ก็ไม่มีอะไรมาก วันหยุดก็นั่งดูไร่แตงโม ไร่มะเขือเทศที่ปลูกไว้ ฝนตกติดต่อกัน ๒-๓ วัน เถาที่เหี่ยวเฉา บางเถาที่คอพับ-คออ่อน ค่อยกระดิกพลิกใบขึ้นมาบ้าง
แล้วแผนปรองดองไปถึงไหนล่ะ อย่าเล่นบท "พ่อแง่-แม่งอน" กันให้นานนัก!?
หัด "เจ้าชู้ยักษ์" ปากว่า-มือถึงบ้างเถอะครับท่านนายกฯ มัวแต่นั่งถอนหญ้า เอาผ้าเช็ดหน้ามาบิด แล้วเมื่อไหร่จะได้ขึ้นสวรรค์กันล่ะ ฝ่ายแกนนำเสื้อแดงเขาก็แค่เกี่ยงให้กำหนดวัน มันก็เหมือนมารยาหญิงเท่านั้น เพราะพวกเขาก็หลายฝ่าย มีทั้งพวกอยากให้จบ มีทั้งพวกอยากลากไว้หาแดก ลาไปไว้นาน ชาวบ้านจะเอียน
เชิญมานั่งโต๊ะหม่ำลาบ ส้มตำ แกล้มสะตอ แล้วคุยกันประสาเพื่อนฝูง ประสาพี่ ประสาน้อง มีอะไรก็ว่ากันไปให้จบไปซะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ใครไม่เห็นแก่ประเทศชาติ ก็ขอให้เห็นแก่ทางวัดบ้างเถอะ
หาที่คุยลับๆ ไม่ได้ มาที่ดง "ลาบ-ส้มตำ" คลองเตยนี่ก็ได้ ผมจัดการให้ ร้านอู๋หน้า "ไทยโพสต์" นี่ ถึงริมถนนแต่อินเตอร์ ฝรั่งตกเรือมาดินเนอร์ซดช้างแกล้มสเต๊กน้ำตกกับซุปทุกคืน...ซุปหน่อไม้น่ะ!
ตัดสินใจอะไรออกไปแล้ว "ลุยเลย" ไม่ต้องไปแคร์แดม "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว"
มาร์คเอ๋ย!

Thaipost ฉบับ 6 พ.ค.53