วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

สมาธิชาวบ้าน เข้าถึงพระนิพพาน

พระนิพพานคือสภาวะจิตที่ สะอาดบริสุทธิ์ ว่างเปล่า เป็นจิตเดิมแท้ที่ปราศจากความดี ความชั่ว ปราศจากบาปและบุญ พระนิพพานเป็นสภาวะธรรมที่ผู้ปฏิบัติทุกคนมุ่งหวังจะเข้าถึง ด้วยเพราะผู้ปฏิบัติต่างก็มีความมุ่งมาดปรารถนาที่จะให้ดวงจิตวิญญาณก้าวพ้น ออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ อันถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของผู้ปฏิบัติธรรม

กระบวนการ ในการเข้าถึงพระนิพพาน ประกอบด้วย การทำลายอัตตาและสมมติทั้งปวงที่ดวงจิตวิญญาณหลงเข้าไปยึด และไปสร้างเอาไว้เป็นของๆ ตน ซึ่งหากจะใช้ความรู้ทางโลกมาอธิบายพระนิพพานแล้ว ย่อมดูเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ ทั้งนี้ เพราะความอยากมี อยากได้ อยากเป็น และความยึดมั่นถือมั่นล้วนเป็นเหตุผลทางโลกและเป็นความถูกต้องของโลก ส่วนภาวะพระนิพพานกลับเป็นการทำลายความยึดมั่นถือมั่นในมายาสมมติโลกเหล่า นั้นลง อีกทั้งผู้ที่ต้องการจะเข้าถึงพระนิพพานก็จำเป็นต้องฝึกทำลายความยึดมั่นถือ มั่นในกิเลสมายาโลกและอวิชชาทั้งหลายเหล่านั้

นลงให้จงได้ ด้วยเหตุนี้พระนิพพานจึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และเข้าถึงได้ยากมากที่สุด

การ ที่เราตั้งเป้าจะมุ่งทำลายอวิชชาในจิตของเรา เราต้องเริ่มทำลายกิเลสและความหลงที่เราได้สร้างและสะสมมันมาทั้งชีวิตเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพย์สมบัติต่างๆ ที่เราเฝ้าหวงแหนมาตลอด แต่สุดท้ายเมื่อได้ปฏิบัติไปจนค้นพบแนวทางแห่งพระนิพพานก็ย่อมเข้าใจตรงกัน ว่า กา

รที่ดวงจิตจะสามารถหลุดพ้น จากผลพวงของกิเลสมายาโลกไปได้ จะต้องทำลายความยึดมั่นถือมั่นในทุกสิ่งที่ดวงจิตได้เคยพากเพียรสร้างและ สะสมมา

พระ นิพพานจึงเป็นกระบวนการย้อนกลับที่สวนทางกับสิ่งที่เราเคยเป็นมาอย่างสิ้น เชิง เปรียบเสมือนการที่เราต้องเปลี่ยนมาว่ายทวนกระแสน้ำ ทั้งๆ ที่แต่ก่อนนั้นเราได้ว่ายตามกระแสน้ำมานานแสนนาน เราเคยยึดมั่นถือมั่นในผลงานการว่ายน้ำตามกระแสกิเลสเหล่านั้นว่าดี รวมทั้งเรายังเคยภาคภูมิใจว่าตนเองสามารถทำระยะทางได้มากกว่าคนอื่นเขา สามารถเก็บสะสมสิ่งเหล่านั้นเอาไว้กับตนเองได้เป็นจำนวนมากกว่าคนอื่นๆ แต่แล้วกลับกลายเป็นว่าเมื่อได้มาค้นพบแนวทางแห่งพระนิพพานเข้า จึงพบว่าการที่เราว่ายตามน้ำนั้น กลับเป็นเรื่องที่ผิดพลาดมากที่สุดในชีวิต ดังนั้น นอกจากเราจะต้องหยุดว่ายตามกระแสน้ำแล้ว ยังต้องรีบเบนเข็มมาว่ายทวนกระแสน้ำในทันทีเสียด้วยซ้ำ เพื่อให้เกิดปัญญาและความหลุดพ้น

ถึง เวลาที่จิตอันเข้มแข็งจะต้องกล้าที่จะทำลายอวิชชาความหลงทั้งหลายที่ดวงจิต ของเราหลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ และปล่อยวางสิ่งอันเป็นมายาสมมติเหล่านั้นให้หมดไป แล้วท่านจะได้พบกับสัจธรรมที่ว่า สิ่งที่เราเคยคิดว่ามันมีค่ามีราคา กลับถูกปัญญาแห่งพระนิพพานเข้าทำลายลงหมดสิ้น จนไม่หลงเหลืออวิชชาความหลงอยู่ภายในจิตใจอีกต่อไป

แต่ ทั้งนี้ ผู้ปฏิบัติจะต้องระลึกไว้เสมอว่า สิ่งอันเป็นอวิชชาที่ดวงจิตเข้าไปยึดเอาไว้นั้นจะถูกทำลายลงได้ก็ด้วย ภูมิปัญญาที่ทรงตัวอยู่ในขั้นเหนือโลกเหนือสมมติเท่านั้น ส่วนภูมิปัญญาที่ได้ในระดับโลกียภูมิย่อมไม่อาจทำลายอวิชชาความหลงเหล่านั้น ลงได้ และยิ่งถ้าเป็นภูมิปัญญาที่ยังหลงติดอยู่กับเรื่องบาป-บุญ เรื่องกุศล-อกุศลด้วยแล้ว ยิ่งเป็นภูมิปัญญาที่ห่างไกลจากการหลุดพ้นจากการเ

วียนว่ายตายเกิดไปกันใหญ่

นิพพาน เป็นภาวะที่เลยจากอนัตตาไป เป็นสูญตาที่หาตัวหาตนไม่ได้ ครูบาอาจารย์และท่านผู้รู้ทั้งหลายต่างกล่าวถึงภาวะแห่งบรมสุขนี้เอาไว้ว่า "การ ไม่เกิดนั้นเป็นบรมสุข" กล่าวคือ การที่ดวงจิตวิญญาณก้าวพ้นออกไปจากมิติแห่งความคิดอันเป็นภาพแห่งความฝันนี้ ได้นับเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ดวงจิตเกิดความหลงยึดมั่นถือมั่นในมายาสมมติว่าเป็น จริงแล้ว มิติภ

พภูมิย่อมปรากฏตัวขึ้น และดวงจิตวิญญาณก็ต้องเข้าไปติดอยู่ในมิติแห่งความคิดความฝันนั้น ด้วยเพราะหาทางหลุดพ้นออกมาไม่ได้

พระ นิพพานเป็นกระบวนการทางจิตอันละเอียดอ่อนที่ทวนกระแสของความคิดบนโลก ซึ่งหากจิตของผู้ปฏิบัติไม่สามารถเข้าถึงจิตเดิมแท้ที่ทรงตัวอยู่เหนือโลก ได้แล้ว การจะพิจารณาให้เกิดภูมิปัญญาในระดับนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับภูมิปัญญาทางโลกอย่างสิ้นเชิง ลำพังภูมิปัญญาธรรมที่ปฏิบัติกันตามวิถีทางบนโลก แม้จะพอทำให้เข้าใจในเรื่องของพระนิพพานได้ว่ามีอาการสิ้นกิเลสเช่นไร และจะสามารถทำลายอวิชชาความหลงลงได้เฉพาะกิเลสบางส่วนที่สมมติบัญญัติเข้าไป อธิบายได้ถึงเท่านั้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเข้าไปทำลายกิเลสอวิชชาให้หมดสิ้นลงไปจากดวงจิตได้ ยังคงมีอวิชชาความหลงที่ละเอียดเกินกว่าจะเข้าใจได้ด้วยสมมติบัญญัติโลกอีก เป็นจำนวนมากมายที่ดวงจิตจะต้องทรงตัวอยู่ในระดับแห่งจิตเดิมแท้ที่อยู่ เหนือโลกเหนือสมมติเท่านั้น จึงจะสามารถพิจารณาและเท่าทันอวิชชาเหล่านั้นได้

ดัง นั้น พระนิพพานจึงไม่อาจสำเร็จได้ด้วยการนั่งคิดเอา จะต้องอบรมจิตให้ค้นพบจิตอันเป็นจิตเดิมแท้ให้ได้ และทำให้จิตเดิมแท้นั้นตื่นขึ้นมาจากมิติแห่งความคิดความฝัน มีเพียงปัญญาในระดับนี้เท่านั้นที่จะนำพาให้ดวงจิตเกิดปัญญาความรู้แจ้ง สามารถถอดรหัสแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในมิติภพภูมิแห่งความคิดความฝันนี้ออก ไปได้ ด้วยสติและปัญญาที่เท่าทันต่อกระบวนการความคิดอันเกิดดับอยู่ภายในจิตนี้ เท่านั้น ที่จะสามารถนำพาดวงจิตให้หลุดพ้นไปจากอวิชชาความหลงทั้งปวงเป็นอิสระ และไม่ตกเป็นทาสของอวิชชาที่ดวงจิตสร้างขึ้นมาเอง.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น